วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2558

ใบงานที่ 3 



ใบความรู้ที 3 วิเคราะห์การเจริญเติบโต
การวิเคราะห์การเจริญเติบโตและพัฒนาการ
      การจะวิเคราะห์การเจริญเติบโตและพัฒนาการได้จะต้องมีข้อมูล    ดังนั้นจึงต้องมีการเก็บ
รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการเจริญเติบโตและพัฒนาการก่อนจึงจะทำการวิเคราะห์ได้ ข้อมูลที
จำเป็นสำหรับการวิเคราะห์  มีดังนี้
1.  ข้อมูลเกี่ยวกับการเจริญเติบโตทางร่างกาย
1.1   น้ำหนัก
1.2   ส่วนสูง
 1.3   ความยาวของลำตัวช่วงบน  และความยาวของลำตัวช่วงล่าง
1.4   ความยาวของช่วงแขนเมื่อกางเต็มที่
1.5   ความยาวของเส้นรอบศีรษะ
1.6   ความยาวของเส้นรอบอก
1.7   การขึ้นของฟันแท้
2.  ข้อมูลเกี่ยวกับการพัฒนาการ
2.1   พัฒนาการทางร่างกาย
2.2   พัฒนาการทางจิตใจและอารมณ์
2.3   พัฒนาการทางสังคม
2.4   พัฒนาการทางสติปัญญา
2.5   พัฒนาการทางเพศ
3.  ข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพ
3.1 วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล   อาจใช้วิธีใดวิธีหนึ่งหรือใช้หลายวิธีก็ได้  ดังนี้
              1.   การสัมภาษณ์  โดยการสอบถามพูดคุยกับพ่อแม่ของเด็ก  พี่เลี้ยง  หรือครูประจำชั้นหรือถ้าเด็กโตแล้วก็สัมภาษณ์เด็กได้
              2.   การศึกษาจากแฟ้มบันทึกสุขภาพหรือจากรายงานซึ่งที่โรงเรียนจะมีอยู่แล้ว
                3.   การวัดและการสังเกต  โดยการชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง  วัดขนาดต่างๆ ของร่างกายตามที่ต้องการ    และใช้การสังเกตพฤติกรรมของเด็กหรืออาการโดยทั่วๆ ไปว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่
           3.2  การสร้างแบบสำรวจข้อมูล การสร้างแบบสำรวจข้อมูลนั้นขึ้นอยู่ที่ว่าเราต้องการข้อมูลอะไรบ้าง  และจะใช้วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างไร   แบบสำรวจข้อมูลโดยทั่วไปจะประกอบด้วยข้อมูลส่วนตัว  ข้อมูลเกี่ยวกับการเจริญเติบโตและพัฒนาการ  และข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพ
การประเมินภาวะการเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย์
         การประเมินภาวการณ์เจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย์นั้นที่สามารถมองเห็น ได้อย่างชัดเจนคือ การประเมินการเจริญเติบโตและพัฒนาการทางด้านร่างกาย โดยการประเมินที่นิยมใช้กันมากที่สุด  คือการประเมินน้ำหนักตัวและความยาวหรือส่วนสูง  เนื่องจากเป็นวิธีการที่ทำได้อย่างรวดเร็ว  ง่าย  ไม่ต้องใช้ผู้มีความชำนาญในการวัดมากนัก  และยังสามารถทำการประเมินกับบุคคลจำนวนมากได้ด้วย โดยผลที่ได้จากการวัดจะถูกนำมาเปรียบเทียบกับมาตรฐาน  เพื่อระบุว่าบุคคลนั้นมีการเจริญเติบโตและพัฒนาการเป็นเช่นไร  สอดคล้องกับบุคคลส่วนใหญ่หรือไม่อย่างไร  ดังนั้นวิธีการวัดจึงต้องมีความถูกต้องแม่นยำเพื่อจะได้ประเมินได้ไม่ผิด พลาด
       1.  การชั่งน้ำหนักตัว   ในการชั่งน้ำหนักตัวนั้นผู้ชั่งควรตรวจสอบเครื่องชั่งให้อยู่ในเกณฑ์
     มาตรฐานก่อน  ( ปรับเครื่องชั่งให้เริ่มที่เลข  0  ก่อนเสมอ )  และเนื่องจากเครื่องชั่งนั้นมี หลายชนิด  จึงต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมโดยเครื่องชั่งที่ดีควรมีความละเอียดถึง  0.1  กิโลกรัม  และก่อนชั่งน้ำหนักไม่ควรรับประทานอาหารจนอิ่ม  ถอดเสื้อผ้าที่หนาๆ  เหลือเท่าที่จำเป็นรวมทั้งถอดรองเท้า และเอาของเล่นต่างๆ ออกก่อนที่จะชั่ง
      2.  การวัดความยาวหรือส่วนสูง  ทารกหรือเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 ขวบ  จะต้องใช้วิธีการวัดความยาวในท่านอน  โดยให้เด็กอยู่ในท่าที่ขาและเข่าเหยียดตรง  ส่วนศีรษะชิดกับไม้วัดและใช้วิธีเลื่อนไม้วัดส่วนที่ใกล้เท้าเข้ามาชิดกับ ปลายเท้า  ในขณะที่เด็กอายุ 2  ขวบขึ้นไป  ผู้ถูกวัดจะต้องถอดรองเท้า ยืนบนพื้นราบ เท้าชิด ยืดตัวตรงส่วนของส้นเท้า หลัง ก้น ไหล่ ศีรษะ สัมผัสไม้วัด  ตามองตรงไปข้างหน้า  และเลื่อนไม้วัดให้สัมผัสกับศีรษะพอดี   ควรอ่านให้ละเอียดถึง 0.1 เซนติเมตร
เกณฑ์มาตรฐานการเจริญเติบโตและพัฒนาการ
   เกณฑ์มาตรฐานการเจริญเติบโตของน้ำหนักและส่วนสูง  เป็นค่าที่ได้จากการรวบรวมข้อมูลน้ำหนักและความยาวหรือส่วนสูงจากเด็กที่มี การเจริญเติบโตเต็มศักยภาพ    โดยใช้จำนวนของเด็กในแต่ละกลุ่ม  อายุแต่ละเพศเป็นจำนวนมาก  โดยเกณฑ์มาตรฐานที่ใช้นั้น จะมีอยู่ด้วยกัน 2  รูปแบบ  ดังนี้
        1.  เกณฑ์มาตรฐานที่เป็นข้อมูลตัวเลข 
                เป็นการแสดงข้อมูลเป็นตัวเลขว่าใน กลุ่มอายุต่างๆ นั้นควรมีน้ำหนักและความยาวหรือส่วนสูงอยู่ในระดับใดจึงจะเหมาะสม  และระดับใดที่ไม่เหมาะสม
        2.  เกณฑ์มาตรฐานที่เป็นรูปกราฟการเจริญเติบโต
เป็นการนำข้อมูลตัวเลขมาแสดงด้วยกราฟ  โดยจุดข้อมูลต่าง ๆ ลงบนกราฟแล้วเชื่อมโยงข้อมูลแต่ละจุด  เพื่อแสดงระดับของการเจริญเติบโตและแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งไม่ว่าจะใช้เกณฑ์มาตรฐานรูปแบบของตัวเลขหรือกราฟก็ตาม  พบว่าโดยทั่วไปนั้นนิยมประเมิน การเจริญเติบโตและพัฒนาการทางร่างกายใน  3 ลักษณะ  ดังนี้
         2.1 การประเมินน้ำหนักตามเกณฑ์อายุ  เป็นการเปรียบเทียบน้ำหนักที่ควรจะเป็นตามช่วงอายุต่างๆ   หากเด็กมีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์อายุ  ก็จะบ่งชี้ถึงปัญหาของการขาดสารอาหารโปรตีนและพลังงาน  ซึ่งมีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตโดยรวม
       2.2 การประเมินส่วนสูงตามเกณฑ์อายุ  เป็นการเปรียบเทียบส่วนสูงที่ควรจะเป็นตามช่วงอายุต่างๆ หากเด็กมีส่วนสูงต่ำกว่าเกณฑ์อายุ  ก็จะบ่งชี้ว่าเด็กมีการขาดสารอาหารอย่างยาวนานและมักจะสัมพันธ์กับฐานะทาง เศรษฐกิจที่ตกต่ำ ซึ่งเกณฑ์มาตรฐานการเจริญเติบโตของเพศชายและเพศหญิง  เมื่อประเมินน้ำหนักและส่วนสูงตามเกณฑ์อายุจะได้ผลดังตาราง
อายุ
(ปี)
เพศชาย
เพศหญิง
น้ำหนัก (กก.)
ส่วนสูง (ซม.)
น้ำหนัก (กก.)
ส่วนสูง (ซม.)
11
25.6 – 45.2
130.5 – 149.4
26.1 – 46.5
132.9 – 152.6
12
28.1 – 50.0
135.1 – 156.9
29.4 – 50.2
 138.8 –156.9
13
31.6 – 54.6
140.9 – 164.4
33.0 – 53.1
 143.5 – 160.2
14
35.6 – 61.9
147.3 – 170.0
36.3 – 55.2
 147.0 – 162.3
15
40.1 – 61.9
153.5 – 173.2
38.6 – 46.5
148.4 – 163.5
16
43.8 – 64.2
158.3 – 175.9
40.1 – 57.2
149.1 – 164.0
17
46.3 – 65.8
160.4 – 177.2
40.8 – 47.6
149.5 – 164.2
18
48.1 – 66.9
161.4 – 177.5
41.3 – 57.7
149.8 – 164.2
19
48.9 – 67.4
161.7 – 177.6
41.7 – 57.8
149.8 – 164.2








    2.3  การประเมินน้ำหนักตามเกณฑ์ส่วนสูง  เป็นการเปรียบเทียบน้ำหนักกับส่วนสูง  ว่าคนที่มีส่วนสูงในระดับต่างๆ  ควรจะมีน้ำหนักเท่าใดจึงจะเหมาะสมไม่เป็นคนผอมหรืออ้วนเกินไป  ซึ่งวิธีนี้ทำได้โดยการนำส่วนสูง ( หน่วยเป็นเซนติเมตร) ลบด้วยตัวเลขมาตรฐานสากล 105   ( สำหรับคนไทยนิยมใช้ 110 )     แล้วนำผลลัพธ์มาเปรียบเทียบกับน้ำหนักตัว (หน่วยเป็นกิโลกรัม )  โดยใช้เกณฑ์อนุโลมคือ+10 หรือ -10 ในการตัดสินว่าปกติ  อ้วนหรือผอม
ตัวอย่าง  เช่น  นางสาว จ.  สูง 155  เซนติเมตร  หนัก  58  กิโลกรัม  จะพบว่า   น้ำหนักของนางสาว จ. ที่ควรเป็นคือ 155 – 110  =  45  กิโลกรัม  ( หาค่าอนุโลมโดยการบวก 10 และลบ 10 )
ดังนั้น  นางสาว จ. ควรมีน้ำหนักระหว่าง 35 – 55  กิโลกรัม  แต่ปรากฏว่า  นางสาว จ. มีน้ำหนัก 58  กิโลกรัม  แสดงว่าเป็นคนอ้วน
วิธีการคำนวณดังกล่าวข้างต้นนั้น  ได้ผลที่ไม่ละเอียดมากนัก  ซึ่งในวงการแพทย์นิยมใช้ค่าดัชนีมวลกาย  ( Body Mass Index  :  BMI ) ในการประเมินมากกว่า  โดยมีสูตรคำนวณ  ดังนี้
ดัชนีมวลกาย  ( BMI )     =    น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) 
         ส่วนสูง 2  (เมตร )
                                          
และมีเกณฑ์ในการเปรียบเทียบดังนี้
ค่าที่ได้  น้อยกว่า  18.5  แสดงว่า  ผอม
ระหว่าง   18.5 – 24.9    แสดงว่า  ปกติ
ระหว่าง   25.0 – 29.9    แสดงว่า  เริ่มอ้วนแล้ว
ระหว่าง   30.0 – 39.9    แสดงว่า  อ้วน
มากกว่า   40               แสดงว่า  อันตราย
1.  ตัวอย่างการคำนวณ  ชายคนหนึ่งมีน้ำหนัก 60 กิโลกรัม  ส่วนสูง 168 เซนติเมตร  จะหาค่าดัชนีมวลกาย ?
ดัชนีมวลกาย    =   60  /   [1.68] 2
=   60  /  2.82
=   21.3
ค่าดัชนีมวลกายคำนวณได้  21.3  แสดงว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ
2.  ตัวอย่างการคำนวณ  นาย ส.สูง 160  เซนติเมตร  น้ำหนัก 67  กิโลกรัม  ค่า BMI  ของ นาย ส. จะเท่ากับเท่าใด ?
BMI     =   67  /  (1.60)2  
                   =   67  /   2.56
             =   26.17
แสดงว่า  นาย ส.  มีน้ำหนักอยู่ในระดับเริ่มอ้วนแต่ยังไม่ถึงระดับอ้วน
 2.  ความอ้วนและความผอม
      ให้นักเรียนคำนวณหาค่าดัชนีมวลกายของตนเอง  เพราะดัชนีมวลกายจะเป็นเครื่องชี้วัดสภาพน้ำหนักของคนเราว่า  จะมีน้ำหนักได้สัดส่วนหรือสมส่วนกับส่วนสูงหรือไม่  ซึ่งมีสูตรในการคำนวณ  ดังนี้
ดัชนีมวลกาย      น้ำหนักตัว (กิโลกรัม)  
ส่วนสูง2 (เมตร)  }
ถ้าค่าดัชนีมวลกายน้อยกว่า  18.5  ถือว่าผอมเกินไป
ถ้าค่าดัชนีมวลกาย =  25.0 – 30.0  ถือว่าเริ่มอ้วนแล้ว
ถ้าค่าดัชนีมวลกายมากกว่า  30.0  ถือว่าอ้วน
ตัวอย่างการคำนวณ  ชายคนหนึ่งมีน้ำหนัก  60  กิโลกรัม  ส่วนสูง 168  เซนติเมตร  จะหาค่าดัชนีมวลกายได้  ดังนี้
ดัชนีมวลกาย      =   60  /   [1.68] 2
                           =   60   /   2.82
                           =   21.3

ค่าดัชนีมวลกายคำนวณได้  21.3  แสดงว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ

แบบฝึกหัด
   ให้นักศึกษาสำรวจสำรวจดัชนีมวลกายของเพื่อนและนำมาคำนวณเสนอคนละ3 case 

1 ความคิดเห็น: