ใบความรู้ที่ 2 โตสมวัย
วิชาวัดประเมินสุขภาพ
1. การเจริญเติบโตของร่างกายในวัยต่างๆ
ร่างกายคนเรา มีการเจริญเติบโตจากวัยทารกสู่วัยเด็ก วัยรุ่น และวัยผู้ใหญ่ ซึ่งในแต่ละวัยขนาดของร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงแตกต่างกันไป
การเจริญเติบโตทางร่างกายของคนเรา สังเกตได้จากสิ่งต่อไปนี้
• น้ำหนัก
• ส่วนสูง
• ความยาวของลำตัว
• ความยาวของช่วงแขนเมื่อกางเต็มที่
• ความยาวของเส้นรอบวงศีรษะ
• ความยาวของเส้นรอบอก
• การขึ้นของฟันแท้
เด็กวัยทารกหรือเด็กวัยแรกเกิด
เด็กวัยแรกเกิดจะมีอายุอยู่ในช่วงตั้งแต่แรกเกิดจนถึงสามปี จะมีการเจริญเติบโตโดยมีสัดส่วนของศีรษะต่อลำตัวเป็น 1 ต่อ 4เด็กก่อนวัยเรียน ในวัยนี้จะมีอายุอยู่ในช่วง 3-6 ปี รูปร่างและสัดส่วนของเด็กจะเปลี่ยนไปจากวัยแรกเกิด ดังนี้
• รูปร่างค่อยๆ ยืดตัวออกใบหน้าและศีรษะเล็กลงเมื่อเทียบกับลำตัว มือและเท้าใหญ่และแข็งแรง อกและไหล่ขยายกว้างขึ้น แต่หน้าท้องแฟบลง
เด็กวัยเรียน
เด็กในวัยเรียนอายุระหว่าง 6-12 ปี จะมีการเจริญเติบโต ดังนี้
• น้ำหนักโดยเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นประมาณ 2-3 กิโลกรัมต่อปี ส่วนสูงเพิ่มประมาณ 4-5 เซนติเมตรต่อปี ฟันน้ำนมจะเริ่มหักเมื่ออายุประมาณ 6 ปี และจะมีฟันแท้ขึ้นมาแทนที่
ลักษณะการเจริญเติบโต
พัฒนารูปแบบของการเติบโตแบ่งออกเป็น 4 แบบใหญ่ๆ คือ
1.การเปลี่ยนแปลงทางขนาด เด็กจะค่อยๆ สูงขึ้น มีน้ำหนักเพิ่มขึ้น รูปร่างขยายขึ้น อวัยวะภาย ใน เช่น หัวใจ ปอด ก็จะใหญ่ขึ้น
2.การเปลี่ยนแปลงทางด้านสัดส่วนและสติปัญญา สัดส่วนของเด็กจะต่างจากผู้ใหญ่ โดย เฉพาะในวัยทารกกับวัยผู้ใหญ่ ส่วนในด้านสติปัญญาก็จะเปลี่ยนไปตามวัย จากคำพูด ไปสู่การ เล่นของเล่น และในวัยรุ่นจะชอบเสื้อผ้า เครื่องแต่งตัว
3.ลักษณะเดิมหายไป นั่นคือ การเติบโตทำให้อวัยวะหรือสิ่งที่ติดตัวเรามาตั้งแต่แรกเกิดหายไป เช่น ฟันน้ำนม และขนอ่อนตอนที่เป็นเด็ก
4.ลักษณะใหม่เกิดขึ้น นั่นคือ เมื่อฟันน้ำนมและขนอ่อนหลุดไป ก็จะได้ฟันแท้มาแทนและอยู่กับ เราไปจนตลอดชีวิต ถ้าได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง
หลักการพัฒนาการของมนุษย์
พัฒนาการของคนเราดำเนินไปอย่างมีแบบแผนทีละขั้น เช่น พัฒนาการของทารก จะเริ่มคว่ำก่อนคืบ คืบก่อนคลาน คลานก่อนนั่งหรือยืน ได้เอง ฯลฯ เป็นต้น
เพื่อเป็นการช่วยตัดสินใจว่าความเจริญเติบโตอย่างใดเรียกว่า “พัฒนาการ” ขอให้พิจารณาว่าความ เจริญเติบโตนั้น เป็นไปตามหลักของพัฒนาการต่อไปนี้หรือไม่
1. พัฒนาการของคนเราดำเนินไปพร้อมกันทั้ง 4 ด้าน สัมพันธ์กันอยู่ตลอดเวลา เช่น เมื่อเด็กโตขึ้น พัฒนาการทางด้านร่างกายอันได้แก่ ส่วนสูงและน้ำหนักเพิ่มขึ้น จะมีพัฒนาการทางอารมณ์ คือ สามารถควบคุมพฤติกรรม ขณะเกิดอารมณ์ได้ดีขึ้น มีพัฒนาการทางสังคม คือ ปรับตัวให้เข้ากับผู้อื่นได้มากขึ้น และมีพัฒนาการทางสติปัญญา คือ มีความคิดอ่านเป็นของตัวเองมากขึ้น ฯลฯ เป็นต้น
2. พัฒนาการเริ่มจากส่วนหยาบไปหาส่วนย่อย เช่น เด็กจะสามารถจับของใหญ่ๆ ด้วยนิ้วทุกนิ้วได้ ก่อนจับของเล็กๆ เพียง 2-3 นิ้ว หรือเด็กจะมองเห็นตัวหนังสือหรือรูปภาพโตๆ ได้ก่อน และดีกว่า ตัวหนังสือหรือรูปภาพเล็กๆ ฯลฯ เป็นต้น
3. เด็กปกติจะผ่านพัฒนาการตามลำดับขั้น แต่ด้วยอัตราที่ไม่เท่ากัน เช่น เด็กทุกคนจะต้องคว่ำ ก่อนคืบ หรือพูดอ้อแอ้ก่อนพูดเป็นคำ แต่เด็กแต่ละคนอาจทำแต่ละอย่างได้ในอายุที่ต่างกัน บาง คนอาจคว่ำได้เมื่ออายุ 4 เดือน บางคนอาจคว่ำเมื่ออายุ 5 เดือน บางคนอาจเริ่มอ้อแอ้เมื่ออายุ 8 เดือน บางคนอาจเริ่มเมื่ออายุได้ 6 หรือ 10 เดือน ฯลฯ เป็นต้น
4. พัฒนาการทั้งหลายทำนายได้ เพราะพัฒนาการเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีแบบแผน เช่น เมื่อเด็ก อ้อแอ้เราก็บอกได้ว่าหลังจากนี้อีก 1 หรือ 2 หรือ 3 เดือน เขาจะพูดเป็นคำได้ หรือเมื่อเด็กเริ่มตั้ง ไข่เราก็จะบอกได้ว่า ขั้นต่อไปของเขาคือจะยืนได้เองนานๆ และจะเดินเองได้ในที่สุด
ลักษณะของพัฒนาการ (Characteristics of Development)
ลักษณะของพัฒนาการมนุษย์ที่สามารถสังเกตหรือผู้สนใจควรทราบ ได้แก่
1. พัฒนาการเป็นไปตามแบบฉบับของมันเอง ไม่ว่ามนุษย์ หรือสัตว์จะมีแบบฉบับของการพัฒนาที่ เป็นของมันเองโดยเฉพาะมนุษย์ หรือสัตว์ที่จัดอยู่ในพวกเดียวกัน จะมีแบบแผนของการพัฒนา การคล้ายๆ กัน ตัวอย่าง เช่น เด็กทุกคนสามารถยืนก่อนที่จะเดิน หรือสามารถคว่ำได้ก่อนที่จะ คลาน การใช้กล้ามเนื้อก็เช่นเดียวกัน เด็กสามารถที่จะใช้กล้ามเนื้อใหญ่ได้ ก่อนที่จะใช้กล้าม เนื้อเล็ก ตัวอย่าง เช่น เด็กสามารถเขียนรูปวงกลมได้ก่อนเขียนรูปสี่เหลี่ยม เป็นต้น
2..พัฒนาการไม่ว่าด้านใดก็ตามจะเริ่มจากส่วนใหญ่ไปสู่ส่วนน้อย เด็กทารกจะเคลื่อนไหวทั้งตัวได้ ก่อนส่วนอื่นๆ ของร่างกาย เด็กสามารถใช้แขนเคลื่อนไหวไปมาได้ก่อนเคลื่อนไหวนิ้วมือ สำหรับ ทางสายตาเด็กเกิดใหม่จะมองเห็นวัตถุใหญ่ๆ ได้ก่อนวัตถุเล็กๆ เพราะว่าการเคลื่อนไหวสายตา ของเด็กยังไม่ดีพอ เมื่ออายุประมาณ 6 เดือน เด็กจะต้องใช้มือสองข้างหรือใช้ตัวเอื้อมช่วยหยิบ สิ่งของ แต่เมื่ออายุประมาณ 1 ขวบ เด็กจึงจะสามารถหยิบสิ่งของต่างๆ ด้วยมือเพียงข้างเดียวได้ ในการพูดก็เช่นเดียวกันเด็กจะพูดออกเสียง อือ ๆ ออ ๆ ก่อนที่จะพูดเป็นคำๆ สำหรับพฤติกรรม ทางด้านอารมณ์ เด็กจะแสดงอาการกลัวในเสียงต่างๆ ที่เกิดขึ้น แต่พอเด็กค่อย ๆ โต ได้รับการ เรียนรู้มากขึ้น เด็กจะเริ่มรู้ว่าสถานการณ์เช่นใดที่เด็กควรกลัวและไม่ควรกลัว เป็นต้น
3. พัฒนาการทั้งหลายเป็นสิ่งที่ต่อเนื่องกันไป พัฒนาการทุกขั้นได้ดำเนินมาก่อนแล้วก่อนที่จะมา ถึงปัจจุบัน และยังจะดำเนินต่อไปอีกฉะนั้นการที่จะเข้าใจ การกระทำของเด็กจำเป็นที่จะต้อง ย้อนไปดูถึง การกระทำในอดีตของเด็กด้วย นั่นคือพัฒนาการไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทันทีทันใด แต่มันมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ก่อนเด็กเกิด ตัวอย่างเช่น ฟันของเด็กที่เราเห็นว่ามันงอกออกมาเมื่ออายุ ประมาณ 6 เดือนนั้น ที่จริงแล้วมันได้เริ่มพัฒนามาตั้งแต่เด็กยังอยู่ในครรภ์ การพูดของเด็กก็เช่น เดียวกัน ไม่ใช่จะเกิดขึ้นทันที่ทันใดได้มีการพัฒนามาที่ละเล็กละน้อยจากการร้องหรือ การที่เด็ก ทำเสียงอือ ๆ ออ ๆ นั่นเอง เนื่องจากพัฒนาการของเด็กเป็นสิ่งที่ต่อเนื่องกันอยู่เสมอนี่เอง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระยะหนึ่ง จะมีอิทธิพลต่อพัฒนาการในระยะต่อๆ ไปด้วย เช่น การที่เด็กได้รับอาหารไม่เพียงพอในวัยเด็กจะทำให้ร่างกายและจิตใจของเด็กไม่เจริญเท่าที่ควร ถึงแม้ว่าจะทดแทนในภายหลังก็ไม่ได้ผลเต็ม ที่ ทางด้านอารมณ์ของเด็กก็เช่นเดียวกัน ถ้าเด็กได้รับความตึงเครียดจากสิ่งแวดล้อมทางบ้าน อยู่เสมอ ก็จะทำให้บุคลิกลักษณะเปลี่ยนแปลงไปฉะนั้น ผู้เป็นบิดามารดาหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับ เด็กควรตระหนังว่า พัฒนาการระยะหนึ่งๆ จะเป็นรากฐานของพัฒนาการในระยะต่อไป การอบรมเลี้ยงดูจึงควรส่งเสริมให้เด็กมีโอกาสได้พัฒนาการใน แต่ละระยะอย่างเต็มที่
4. อัตราพัฒนาการของเด็กแต่ละคนจะแตกต่างกัน เป็นที่ทราบกันแล้วว่า ธรรมชาติได้สร้างเด็กแต่ละคนให้มีลักษณะต่าง ๆ กัน เด็กบางคนเจริญเติบโตเร็ว เด็กบางคนก็เจริญเติบโตช้า เด็กที่มีการเจริญเติบโตเร็วมาแต่เล็ก ๆ จะยังคงเจริญเติบโตเร็วอยู่ตลอดไปในทุก ๆ ด้าน ส่วนเด็กที่มีการเจริญเติบโตช้าก็จะยังคงช้าอยู่ตลอดไปเช่นเดียวกันเราจะพบว่า บิดามารดามักวิตกเป็นทุกข์ในเรื่องการเจริญเติบโตในบุตรของตนมาก เช่น วิตกว่าทำไมบุตรของตนจึงพูดช้ากว่าบุตรคนอื่น ๆ ทั้ง ๆ ที่มีอายุขนาดเดียวกัน ทำไมบุตรของตนจึงเดินช้า ฟันขึ้นช้า ฯลฯ เป็นต้น ดังนั้น ลักษณะของพัฒนาการในเรื่องนี้จะทำให้บิดามารดาสบายขึ้น ถ้าได้ทราบว่าเด็กแต่ละคนต่างกัน เด็กแต่ละคนมีการเจริญเติบโตของตน โดยเฉพาะการที่จะให้พูดได้ เดินได้เร็วเหมือน ๆ กันจึงเป็นไปไม่ได้ เด็กแต่ละคนจะเรียนอ่าน พูด เขียน หรือเจริญเติบโตทางร่างกาย สมอง อารมณ์ และสังคม ไปเป็นขั้น ๆ ตามสภาพความพร้อมภายในตัวเด็กแต่ละคนอัตราพัฒนาการส่วนต่างๆของร่างกายแตกต่างกัน ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายไม่ได้เจริญในอัตรา เดียวกันหมด ส่วนต่าง ๆ ที่ทางด้านสมองและร่างกายจะมีอัตราการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว บางส่วนจะเจริญช้า ตัวอย่างเช่น ขนาดสมองจะเจริญเติบโตถึงขีดสุด เมื่อเด็กอายุและระบบ การย่อยอาหารจะเจริญอย่างรวดเร็วในระหว่างวัยรุ่นสำหรับทางด้านความคิดคำนึง หรือความคิดสร้างสรรค์ จะพัฒนาอย่างรวดเร็วในระหว่างวัยเด็ก และจะเจริญถึงขีดสุดเมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่นหนุ่มสาว ในด้านการใช้เหตุผลจะพัฒนาค่อนข้างช้า ส่วนด้านความจำ บุคคลทั่ว ๆ ไปจะจำสิ่งที่เป็นรูปธรรมได้เร็วกว่าสิ่งที่เป็นนามธรรม และโดยทั่ว ๆ ไป สติปัญญาของคนโดยเฉลี่ยแล้ว จะเจริญถึงขีดสูงสุดเมื่ออายุประมาณ 14 – 15 ปี พัฒนาการของคุณลักษณะต่างๆ มักจะสัมพันธ์กัน พัฒนาการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านไหนมักจะมี ความสัมพันธ์กัน เช่น เด็กคนไหนที่มีสติปัญญาเฉลี่ยฉลาดก็มักมีร่างกายสมบูรณ์ ตลอดจน สามารถปรับตัวให้เข้ากับสังคมได้อย่างดีด้วย ส่วนเด็กที่มีสติปัญญาต่ำ เช่น เด็กที่มีสุขภาพไม่ดี ไม่สามารถเล่นกีฬาได้เหมือนเพื่อน ๆ ก็หันมาเอาใจใส่ในด้านการเรียน จนเรียนหนังสือได้เก่ง เหมือนกัน แต่มักจะมีอยู่น้อยรายพัฒนาการของเด็กอาจทำนายได้ เนื่องจากอัตราพัฒนาการของเด็กคงที่พอสมควร เราจึง สามารถทำนายพฤติกรรมของเด็กได้ว่า จะมีพฤติกรรมชนิดใดเกิดขึ้นเมื่อใดพัฒนาการบางชนิดที่ผู้ใหญ่ ถือว่าเป็นพฤติกรรมที่เป็นปัญหา แต่ที่จริงแล้วจัดเป็นพฤติกรรมที่ ปกติของเด็กซึ่งเป็นไปตามลักษณะของพัฒนาการนั่นเอง ในระดับอายุหนึ่งๆ เด็กอาจมีพฤติ กรรมที่ผู้ใหญ่ไม่พอใจเกิดขึ้น ซึ่งที่แท้แล้วเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นตามปกติของเด็กนั่นเอง เช่น เด็กอายุประมาณ 3 ขวบครึ่ง จะมีพฤติกรรมที่ไม่สมดุลต่าง ๆ เช่น ความกลัวตกง่าย และรุนแรง เมื่อเด็กอายุมากขึ้น พฤติกรรมเหล่านี้ก็จะเปลี่ยนแปลงไปเข้าสู่สมดุล ฉะนั้นบิดามารดาจึงไม่ควรวิตกกังวลแต่อย่างไร เพราะว่าพฤติกรรมเหล่านี้นั้นจะเกิดขึ้นเพียงระยะหนึ่งเท่านั้น และก็จะหาย ไปเมื่อเด็กผ่านพ้นวัยนั้น ๆ ปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโต และพัฒนาการของมนุษย์
1. เพศ ปกติเพศหญิงจะเจริญเติบโตเร็วกว่าเพศชาย
2. ต่อมต่าง ๆ ภายในร่างกายที่ผลิตสารต่างๆ อาจทำงานมากหรือน้อยต่างกันไป
3. อาหาร การได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วนทำให้เกิดการเจริญเติบโตช้า
4. อาการและแสงแดด ถ้ามีอาการดีและได้รับแสงแดดบ้างจะทำให้เราแข็งแรง เจริญเติบโตตาม ปกติ
5. การบาดเจ็บและโรคภัยที่เป็นมาแต่เดิมถ้าป่วยมาแต่เด็กก็จะทำการเจริญเติบโตช้า
6. การเรียนรู้ที่จะฝึกหัดหรือฝึกฝน โดยเฉพาะการเล่นกีฬาและการทำกิจกรรมต่าง ๆ จะทำให้พัฒนา
การของกล้ามเนื้อดี และทำให้ร่างกายเจริญเติบโตเร็วขึ้น ปัจจัยเหล่านี้จะได้กล่าวในราย ละเอียดต่อไป
องค์ประกอบที่มีผลต่อพัฒนาการของมนุษย์ คือ
1. พันธุกรรม (Heredity) คือ ลักษณะต่างๆ ทั้งทางกายและทางพฤติกรรมที่ถ่ายทอดจากบรรพ บุรุษสู่ลูกหลาน การถ่ายทอดนี้ผ่านทางเซลล์สืบพันธุ์ของพ่อและแม่ ลักษณะต่างๆ จากพ่อและ แม่จะถ่ายทอดไปสู่ลูกโดยทางเซลล์สืบพันธุ์นี้ ซึ่งเรียกว่า โครโมโซม (Chromosome) สำหรับ มนุษย์จะมีโครโมโซม 23 คู่ หรือ 46 ตัว มีอยู่คู่หนึ่งที่ทำหน้าที่กำหนดเพศหญิงหรือเพศชาย อิทธิพลของพันธุกรรมที่มีต่อมนุษย์ คือ เป็นตัวกำหนดเพศ รูปร่าง ชนิดของโลหิต สีผม ผิว ตา และระดับสติปัญญาเป็นต้น นักจิตวิทยาหลายคน เช่น แอนนาตาซี (Anastasi) ได้กล่าวว่า พันธุกรรมมีอิทธิพลต่อการพัฒนาการของมนุษย์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยีน (Gene) ที่แตกต่างจะเป็นตัวกำหนดให้แต่ละบุคคลมีพัฒนาการที่แตกต่างกัน ส่วนใหญ่แล้วพันธุกรรม จะมีผลต่อพัฒนาการทางด้านร่างกายมากที่สุด
1. วุฒิภาวะ (Maturation) เป็นกระบวนการเจริญเติบโตและการเปลี่ยนแปลง ที่เกิดขึ้นตามธรรม ชาติของบุคคล โดยไม่ต้องอาศัยการฝึกหัดหรือประสบการณ์ใด ๆ เช่น การยืน การเดิน การวิ่ง การเปล่งเสียง ซึ่งเป็นพื้นฐานตามธรรมชาติของมนุษย์ที่เป็นไปตามปกติเมื่อถึงวัยที่สามารถ จะ กระทำได้
2. การเรียนรู้ (Learning) เป็นพัฒนาการที่เกิดจากประสบการณ์ และการฝึกหัด หรือความสามารถ
ทางทักษะอย่างหนึ่งอย่างใดโดยเฉพาะ ซึ่งจะต้องอาศัยประสบการณ์และการฝึกหัดเป็นพื้นฐาน
สำคัญ ดังนั้นนักจิตวิทยาที่สนใจเรื่องการเรียนรู้ จึงให้ความสำคัญกับเรื่องความพร้อม (Readiness) ว่าเป็นสิ่งสนับสนุนในเรื่องการเรียนรู้เป็นอย่างมาก จากการศึกษาเรื่อง”ความพร้อม”
นักจิตวิทยาได้บ่งแนวความคิดออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
ความพร้อมเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ (Natural Readiness Approach) กลุ่มนี้มีความเห็นว่า ความพร้อมของบุคคลเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เมื่อถึงวัยหรือเมื่อถึงระยะเวลาที่ เหมาะสมที่จะทำกิจกรรมอย่างหนึ่งอย่างใดได้ ดังนั้นในกลุ่มนี้จึงเห็นว่าการทำอะไรก็ตาม ไม่ควรจะเป็น “การเร่ง” เพราะการเร่งจะไม่ทำให้เกิดประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้น ตรงกันข้าม อาจจะทำให้เกิดผลเสียตามมาคือ ความท้อถอย และความเบื่อหน่าย เป็นต้น
ความพร้อมเกิดจากการกระตุ้น (Guided Experience Approach) กลุ่มนี้มีความเห็นตรง ข้ามกับกลุ่มแรก คือ เห็นว่า ความพร้อมนั้นสามารถเร่งให้เกิดขึ้นได้ โดยการกระตุ้นการ แนะนำ การจัดประสบการณ์อันจะก่อให้เกิดเป็นความพร้อมได้โดยตรง โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งในช่วงวัยเด็ก ซึ่งจะเป็นวัยที่มีช่วงวิกฤติ (Critical Period) ของการเรียนรู้และการปรับ ตัว เป็นอย่างมาก
3. สิ่งแวดล้อม (Environment) ได้แก่ สิ่งที่อยู่รอบตัวบุคคลนั้น ๆ ทั้งสิ่งที่มีชีวิตและสิ่งที่ไม่มีชีวิต นอกจากนั้นสิ่งแวดล้อมยังหมายรวมถึงระบบและโครงสร้างต่างๆ ที่มนุษย์ได้สร้างขึ้น เช่น ระบบ ครอบครัว ระบบสังคม ระบบวัฒนธรรม เป็นต้น
แหล่งที่มา http://www.thaigoodview.com/library/contest2551/health03/05/2/contents/develop02.html
แบบฝึกหัด
1. การเจริญเติบโตทางร่างกายของคนเรา สังเกตได้จากอะไรบ้าง
2. องค์ประกอบที่มีผลต่อพัฒนาการของมนุษย์มีอะไรบ้าง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น