ใบความรู้ที่ 6 แนวทางการวัดผลการดำเนินงานด้านสุขภาพ
แนวทางการวัดผลการดำเนินงานด้านสุขภาพและความปลอดภัย
(ศิริพร วันฟั่น)(A Guide To Measuring Health & Safety Performance)
“การวัดผล (Measurement)” เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของกระบวนการจัดการ (Management Process) และเป็นพื้นฐานสำคัญของการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง (Continual Improvement) ซึ่งถ้าการวัดผลมีการดำเนินการอย่างไม่ถูกต้อง ก็จะกลับกลายเป็นการบั่นทอนประสิทธิภาพของระบบการจัดการนั้น ๆ ไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบการจัดการด้านสุขภาพและความปลอดภัย (Health & Safety Management System) ที่หากว่าได้รับการวัดผลด้วยวิธีการที่ไม่เหมาะสม ก็จะทำให้ผู้บริหารขาดข้อมูลที่เชื่อถือได้ในการพิจารณาว่า การควบคุมความเสี่ยงที่มีต่อสุขภาพและความปลอดภัยนั้น ได้ผลเป็นอย่างไรบ้าง
โดยปกติแล้ว เมื่อกรรมการผู้จัดการหรือผู้บริหารสูงสุดขององค์กรถูกถามว่า “ผลลัพธ์ของการวัดผลการดำเนินงานของบริษัทเป็นอย่างไรบ้าง” ก็อาจจะตอบโดยดูข้อมูลการวัดผลที่ให้ความสำคัญไปที่ เปอร์เซ็นต์ผลกำไร ผลตอบแทนจากการลงทุนหรือส่วนแบ่งตลาด ซึ่งลักษณะทั่วไปของข้อมูลการวัดผลที่ถูกเสนอขึ้นมา ก็จะเป็นไปในทำนองที่แสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ในเชิงบวก หรือที่เรียกว่าผลสะท้อนของความสำเร็จ (Reflecting Achievement) มากกว่าการที่จะแสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ในเชิงลบ หรือที่เรียกว่าผลสะท้อนของความล้มเหลว (Reflecting Failure) และถ้าถูกถามอีกว่า “ผลลัพธ์ของการวัดผลการดำเนินงานด้านสุขภาพและความปลอดภัยของบริษัทเป็น อย่างไรบ้าง” ก็มีแนวโน้มว่าข้อมูลการวัดผลที่ถูกนำเสนอขึ้นมาก็จะเป็นไปในรูปแบบของสถิติ การบาดเจ็บเท่านั้น
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ในขณะที่การวัดผลการดำเนินงานของธุรกิจโดยทั่วไปขององค์กร จะมุ่งความสนใจไปที่การวัดผลในเชิงบวก (Positive Measures) แต่สำหรับการวัดผลการดำเนินงานด้านสุขภาพและความปลอดภัยนั้น กลับพุ่งเป้าไปที่การวัดผลในเชิงลบ (Negative Measures) โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถิติการบาดเจ็บและการเจ็บป่วย หรือที่เรียกว่า “การวัดผลความล้มเหลว (Measures of Failures)”
นอกจากนี้แล้ว การวัดผลการดำเนินงานด้านสุขภาพและความปลอดภัยในแต่ละพื้นที่ก็มีความแตก ต่างกัน เพราะว่าผลของความสำเร็จ ก็คือ การไม่ปรากฏผลลัพธ์ (การบาดเจ็บและการเจ็บป่วย) มากกว่าการปรากฏ แต่การที่มีอัตราการบาดเจ็บและการเจ็บป่วยอยู่ในระดับต่ำนั้น ก็ไม่ได้เป็นการรับประกันว่า ความเสี่ยงที่มีอยู่นั้นยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมและจะไม่นำไปสู่การบาดเจ็บ หรือเจ็บป่วยในอนาคต โดยเฉพาะสิ่งที่ว่านี้จะกลายเป็นจริงในองค์กรที่พบว่ามีความน่าจะเป็นที่จะ เกิดอุบัติเหตุอยู่ในระดับต่ำ แต่ก็ยังคงปรากฏอันตรายหลัก ๆ ให้เห็นอยู่ดี รวมถึงสถิติการบาดเจ็บและการเจ็บป่วยก็เพียงแต่สะท้อนให้เห็นถึงผลลัพธ์ไม่ ใช่สาเหตุ ดังนั้นข้อมูลบันทึกประวัติการบาดเจ็บและการเจ็บป่วยที่ผ่านมา ก็อาจจะเป็นตัวชี้วัดถึงประสิทธิภาพด้านสุขภาพและความปลอดภัยที่ลวงตาได้ และเมื่อประสบปัญหาว่ามีข้อด้อยบางประการในการวัดผลโดยพิจารณาจากสถิติการ บาดเจ็บและการเจ็บป่วยแต่เพียงอย่างเดียว บางองค์กรเลยหันไปมองที่การวัดผลประเด็นอื่น ๆ ที่ง่ายต่อการนับจำนวนแทน เช่น จำนวนหลักสูตรฝึกอบรม หรือจำนวนครั้งในการตรวจสอบ สิ่งที่ขาดหายไปในการวัดผลที่มักประสบอยู่บ่อยครั้ง ก็คือ “วิธีการวัดผลอย่างเป็นระบบ (Systematic Approach) และการเชื่อมโยงเข้ากับกระบวนการควบคุมความเสี่ยง” ซึ่งมักจะเกิดปัญหาในลักษณะที่คล้ายคลึงกันในช่วงก่อนที่องค์กรจะมีรูปแบบ (Model) ของระบบสุขภาพและความปลอดภัยที่ชัดเจน โดยเมื่อมีกิจกรรมเกี่ยวกับสุขภาพและความปลอดภัยแต่มีความเข้าใจเพียงเล็ก น้อยว่า กิจกรรมเหล่านี้ควรจะอยู่ที่ตำแหน่งใดที่เหมาะสมภายในโครงงาน (Framework) ของการจัดการด้านสุขภาพและความปลอดภัยโดยรวมทั้งหมด นอกจากนี้แล้ว สิ่งสำคัญประการหนึ่ง ก็คือ ไม่เพียงเฉพาะการมั่นใจว่าการวัดผลนั้นมีประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ต้องรวมถึงการมั่นใจว่าสามารถใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ในการวัดผลการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยเช่นกัน ทั้งนี้เมื่อระบบการจัดการด้านสุขภาพและความปลอดภัยมีการพัฒนาก็ต้องมีการ พัฒนาวิธีการวัดผลให้มีความเป็นระเบียบวินัยมากยิ่งขึ้นตามไปด้วย
การวัดผลการดำเนินงานด้านสุขภาพและความปลอดภัยไม่ ใช่เรื่องง่าย และไม่มีคำตอบที่ได้มาโดยง่าย ดังนั้นองค์กรต่าง ๆ พึงระลึกเสมอว่า ไม่มีวิธีวัดผลการดำเนินงานด้านสุขภาพและความปลอดภัยเพียงลำพังเดี่ยว ๆ ที่จะเชื่อถือได้หรือถูกต้องทั้งหมด ดังนั้นสิ่งที่ต้องการ ก็คือ ควรพิจารณาวิธีการวัดผลหลาย ๆ แบบประกอบกันตามความเหมาะสมกับสภาพขององค์กร เช่นเดียวกับดัชนีชี้วัดผลการดำเนินงานด้านสุขภาพและความปลอดภัย (Health & Safety Performance Indicators) เพื่อที่จะสามารถให้ข้อมูลวัดผลการดำเนินงานด้านสุขภาพและความปลอดภัยของ กิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยมีคำถามหลัก ๆ ที่ผู้บริหารระดับอาวุโสสูงสุดขององค์กร ควรจะตั้งคำถามกับตัวเองว่า ข้อมูลอะไรที่จะทำให้มั่นใจว่า การจัดแจงสำหรับการควบคุมความเสี่ยงตลอดทั่วทั้งองค์กรนั้น “ได้ถูกนำมาใช้ มีการปฏิบัติตามกฎหมายเป็นอย่างน้อย และปฏิบัติการได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
วิธีการดั้งเดิม (Traditional Approaches) ที่ใช้ในการวัดผลการดำเนินงานด้านสุขภาพและความปลอดภัยนั้น จะอยู่บนพื้นฐานของการพิจารณาที่ให้น้ำหนักความสำคัญมุ่งตรงไปที่บทบัญญัติ ตามกฎหมาย (Legislatives) และกฏเกณฑ์ข้อบังคับทางการบริหารจัดการ (Administrative Regulations) เป็นประเด็นหลัก แต่ครั้นเวลาผ่านมา การวัดผลการดำเนินงานด้านสุขภาพและความปลอดภัยก็ได้มีการให้ความสำคัญกับ ประเด็นอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้น เช่น พัฒนาการของมาตรฐานระบบการจัดการ (Management System Standards) สภาวะสุขภาพและความปลอดภัย ณ จุดทำงาน องค์รวมของกระบวนการจัดการ การดำเนินการของระบบที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมในการทำงาน (Working Behaviours) รวมถึงวัฒนธรรมความปลอดภัย (Safety Culture) เป็นต้น
นอกจากนี้ แต่เดิมแล้ววิธีการวัดผลจะเป็นการพิจารณาที่อยู่บนการเก็บรวบรวม “ข้อมูลหลังเหตุการณ์ (After-incident Data)” โดยตัวชี้วัดก็จะเป็นดัชนีความถี่หรือระดับความรุนแรงของเหตุการณ์ที่เกิด ขึ้น หรือที่รวมเรียกว่า “การวัดผลในเชิงปริมาณ (Quantitative Measurements)” แต่ต่อมาก็ได้มีกระบวนการพิจารณาเพิ่มเติมในส่วนของ “ข้อมูลก่อนเกิดเหตุ (Pre-incident Data)” โดยอาศัยข้อมูลจากการตรวจสอบความปลอดภัย (Safety Inspections) การสังเกตพฤติกรรมการทำงานที่ปลอดภัยและไม่ปลอดภัย (Working Safe & Unsafe Behaviours Observation) การสังเกตทัศนคติของผู้ปฏิบัติงานที่มีต่อความปลอดภัย (Employees’ Attitude Towards Safety Observation) การตรวจประเมินความปลอดภัย (Safety Audits) การเฝ้าติดตามพฤติกรรมปลอดภัยหรือไม่ปลอดภัย (Monitoring of Safe & Unsafe Behaviors) หรือการสอบสวนบรรยากาศความปลอดภัย (Investigation of the Safety Climate) เหล่านี้เป็นต้น หรือที่รวมเรียกว่า “การวัดผลในเชิงคุณภาพ (Qualitative Measurements)”
1. ทำไมต้องวัดผลการดำเนินงานด้านสุขภาพและความปลอดภัย
(Why Measure Health & Safety Performance ?)
การ วัดผล (Measurement) เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการจัดการในส่วนของ “Plan-Do-Check-Act” และ “การวัดผลการดำเนินงาน (Measuring Performance)” ก็เป็นส่วนสำคัญประการหนึ่งของระบบการจัดการด้านสุขภาพและความปลอดภัยโดยรวม ทั้งหมด (The Overall Health & Safety Management System) เช่นเดียวกันกับของระบบการเงิน ระบบการผลิต และระบบอื่น ๆ
รูปที่ 1 การวัดผลการดำเนินงาน (Measuring Performance) เป็นส่วนที่สำคัญประการหนึ่งที่อยู่ภายในระบบการจัดการด้านสุขภาพและความ ปลอดภัยโดยรวมทั้งหมด (The Overall Health & Safety Management System)
1.1 เป็นการให้ข้อมูล (Providing Information) โดยวัตถุประสงค์แรกเริ่มของการวัดผลการดำเนินงานด้านสุขภาพและความปลอดภัย ก็คือ การให้ข้อมูลสภาวะปัจจุบันและความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ กระบวนการ และกิจกรรมต่าง ๆ ที่องค์กรได้ใช้ดำเนินการเพื่อควบคุมความเสี่ยงต่าง ๆ ที่มีต่อสุขภาพและความปลอดภัย ซึ่งข้อมูลจากการวัดผลนี้ จะเสมือนเป็นการช่วยคงรักษาไว้ซึ่งปฏิบัติการและการพัฒนาระบบการจัดการด้าน สุขภาพและความปลอดภัย และรวมถึงการควบคุมความเสี่ยง โดยใช้เป็นข้อมูลในการพิจารณาว่าระบบมีการดำเนินการในทางปฏิบัติเป็นอย่างไร บ้าง มีการบ่งชี้ว่ามีพื้นที่ใดที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขปัญหา และเป็นพื้นฐานสำหรับการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงให้ข้อมูลป้อนกลับ (Feedback) และเป็นเสมือนแรงจูงใจอีกทางหนึ่งด้วย โดยการวัดผลการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพนั้น จะเป็นการให้ข้อมูลให้ทราบได้ทั้งในส่วนของระดับของผลการดำเนินงาน (The Level of Performance) และเหตุผลว่าทำไมถึงอยู่ในระดับนั้น
1.2 เป็นการตอบข้อสงสัย (Answering Questions) โดยการวัดผลการดำเนินงานด้านสุขภาพและความปลอดภัย ควรที่จะเสาะแสวงหาคำตอบสำหรับคำถามต่าง ๆ เหล่านี้ เช่น สภาวะปัจจุบันนี้เราอยู่ที่ตรงไหนเมื่อเทียบกับจุดมุ่งหมายโดยรวมของสุขภาพ และความปลอดภัยและรวมถึงวัตถุประสงค์ด้วย สภาวะปัจจุบันนี้เราอยู่ที่ตรงไหนในการควบคุมอันตรายและความเสี่ยง เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งแล้วเป็นอย่างไรบ้าง ทำไมเราถึงมาอยู่ที่จุดนี้ ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้เราดีขึ้นหรือแย่ลง การจัดการด้านสุขภาพและความปลอดภัยของเรามีประสิทธิภาพ มีประสิทธิผล และน่าเชื่อถือหรือไม่ มีการนำระบบการจัดการด้านสุขภาพและความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพมาใช้ทั่ว ทั้งองค์กรหรือไม่ วัฒนธรรมองค์กรของเราช่วยส่งเสริมสุขภาพและความปลอดภัยได้บ้างหรือไม่ โดยเฉพาะในยามที่ต้องเผชิญกับสภาวะการแข่งขันสูง และการจัดการด้านสุขภาพและความปลอดภัยได้สัดส่วนกับอันตรายและความเสี่ยง หรือไม่ เป็นต้น ซึ่งคำถามต่าง ๆ เหล่านี้ควรที่จะถูกถามไม่เพียงแต่เฉพาะผู้บริหารระดับสูงเท่านั้น แต่รวมไปถึงผู้บริหารในระดับต่าง ๆ ด้วย ตลอดจนบุคลากรทั่วทั้งองค์กร ทั้งนี้จุดมุ่งหมายหลักควรที่จะเป็นการให้ภาพรวมที่สมบูรณ์ของผลการดำเนิน งานด้านสุขภาพและความปลอดภัย
1.3 เป็นตัวช่วยสำหรับกระบวนการตัดสินใจ (Decision Making) โดยข้อมูลการวัดผลจะช่วยในการตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ เช่น สภาวะที่เป็นอยู่เทียบกับสภาวะที่ต้องการจะเป็น ความก้าวหน้าอะไรที่มีความจำเป็นและมีเหตุมีผล ต้องทำอย่างไรเพื่อให้ความก้าวหน้านี้บรรลุผลในเมื่อยังมีสิ่งที่เหนี่ยว รั้งไว้อยู่ (เช่น ข้อจำกัดด้านทรัพยากร หรือเวลา) หนทางใดที่คิดว่าความก้าวหน้านี้จะประสบผลสำเร็จได้ รวมไปจนถึง ลำดับความสำคัญและประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากร เป็นต้น
1.4 เป็นการระบุถึงความจำเป็นสำหรับข้อมูลที่มีความแตกต่างกัน (Addressing Different Information Needs) ข้อมูลจากการวัดผลการดำเนินงานด้านสุขภาพและความปลอดภัยถือว่าเป็นสิ่งจำ เป็นสำหรับบุคลากรในองค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ที่รับผิดชอบในระบบการจัดการด้านสุขภาพและความ ปลอดภัย ซึ่งจะรวมถึงผู้อำนวยการ ผู้จัดการอาวุโส ผู้จัดการในสายงาน หัวหน้างาน เจ้าหน้าที่อาชีวอนามัยและความปลอดภัย และตัวแทนลูกจ้าง/ความปลอดภัย โดยแต่ละคนก็จะจำเป็นต้องใช้ข้อมูลที่เหมาะสมกับตำแหน่งและความรับผิดชอบภาย ในระบบการจัดการด้านสุขภาพและความปลอดภัย ตัวอย่างเช่น ข้อมูลที่จำเป็นสำหรับผู้บริหารสูงสุด (CEO) ขององค์กรข้ามชาติ (Multinational Organization) ที่ต้องการทราบจากระบบการวัดผลการดำเนินงาน ก็จะมีความแตกต่างกันในรายละเอียดและลักษณะ เมื่อเทียบกับข้อมูลที่จำเป็นสำหรับผู้จัดการในพื้นที่งานเฉพาะ และข้อมูลนี้ยังอาจมีความแตกต่างกันในรายละเอียดได้อีกสำหรับผู้จัดการฝ่าย ในพื้นที่งานเดียวกันนี้อีกด้วย
ความจำเป็นสำหรับข้อมูลต่าง ๆ ที่ว่านี้ จะถูกรวมเข้าปะติดปะต่อกัน เพื่อที่ว่าการวัดผลในแต่ละกิจกรรมจะสามารถเชื่อมโยงเข้ากันได้กับโครงงาน ของการวัดผลการดำเนินงานโดยรวมทั้งหมด ซึ่งผลลัพธ์ที่แสดงออกมาจะเป็นสิ่งที่ช่วยสะท้อนผลกระทบที่มีต่อโครงสร้าง ขององค์กรได้เป็นอย่างดี และถึงแม้ว่าจุดสนใจแรกเริ่มของการวัดผลการดำเนินงานจะเป็นการสนองตอบต่อ ความจำเป็นของข้อมูลภายใน (Internal Needs) ขององค์กร แต่ก็ยังมีความจำเป็นที่เพิ่มขึ้นของข้อมูลที่จะแสดงต่อผู้มีส่วนได้ส่วน เสียภายนอก (External Stakeholders) ด้วยเช่นกัน เช่น เจ้าหน้าที่รัฐฯ บริษัทประกัน ผู้ถือหุ้น ผู้จัดหา-จัดส่ง ผู้รับเหมา สาธารณชน เป็นต้น
ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะอธิบายให้รับทราบถึงการจัดแจงสำหรับ การควบคุมความเสี่ยงที่มีต่อสุขภาพและความปลอดภัยว่า ได้นำมาใช้ รวมถึงมีการดำเนินการที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ในขณะที่อุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูงนั้น อาจมีกระบวนการในการได้รับใบอนุญาตในการดำเนินการ (License to Operate) ที่ระบุไว้ว่าต้องรับฟังข้อคิดเห็นและผลกระทบที่มีต่อชุมชนนั้น ๆ เสียก่อน ซึ่งจะเป็นแรงกดดันให้ผู้ประกอบการมีความรับผิดชอบมากยิ่งขึ้น โดยความรับผิดชอบที่ว่านี้อาจอาศัยกระบวนการที่รู้จักกันดีก็คือ ความรับผิดชอบร่วมที่มีต่อสังคม (Corporate Social Responsibility: CSR) ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า ความท้าทายอย่างหนึ่งขององค์กร ก็คือ การสื่อสารถึงผลการดำเนินงานในวิถีทางที่มีความสำคัญและมีสาระไปยังผู้มี ส่วนได้ส่วนเสียเหล่านั้นได้รับทราบและเข้าใจ
2. อะไรบ้างที่ควรวัดผล (What To Measure)
การ ที่จะบรรลุผลลัพธ์ในเรื่องที่ไม่มีการบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยจากการทำงาน และความพึงพอใจของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้นั้น ความเสี่ยงที่มีต่อสุขภาพและความปลอดภัยจำเป็นต้องได้รับการควบคุม โดยการควบคุมความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพนั้นต้องถูกระบุไว้ในระบบการจัดการ ด้านสุขภาพและความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ (ดังปรากฏในรูปที่ 2)
รูปที่ 2 การควบคุมความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ (Effective
Risk Control) จะอยู่ในระบบการจัดการด้านสุขภาพและความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ
(Effective Health & Safety Management System)
ระบบการจัดการด้านสุขภาพและความปลอดภัยประกอบด้วยระดับของการควบคุม
(Levels of Control) ใน 3
ระดับด้วยกัน คือ• ระดับ 3 (Level 3) – การระมัดระวังป้องกันในสถานที่ปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพ (Effective Workplace Precautions) ได้ถูกจัดสรรและคงรักษาไว้ซึ่งการป้องกันการบาดเจ็บที่จะเกิดขึ้นกับผู้ ปฏิบัติงาน ณ จุดที่มีความเสี่ยง
• ระดับ 2 (Level 2) – ระบบควบคุมความเสี่ยง (Risk Control Systems: RCSs) เป็นพื้นฐานที่จะทำให้มั่นใจว่าการระมัดระวังป้องกันในสถานที่ปฏิบัติ งานอย่างเพียงพอ ได้ถูกจัดสรรและคงรักษาไว้
• ระดับ 1 (Level 1) – องค์ประกอบที่สำคัญของระบบการจัดการด้านสุขภาพและความปลอดภัย ก็คือ การจัดแจงการจัดการ (Management Arrangements) ซึ่งจะรวมถึง แผนงานและวัตถุประสงค์ที่จำเป็นต่อการจัดระเบียบ วางแผน ควบคุม และติดตามตรวจสอบการออกแบบและการนำไปปฏิบัติของระบบควบคุมความเสี่ยง
นอกเหนือจากนี้แล้ว ก็ยังมีวัฒนธรรมด้านสุขภาพและความปลอดภัยในเชิงบวก (Positive Health & Safety Culture) ที่จะช่วยส่งเสริมในแต่ละระดับของการควบคุมอีกด้วย
เพื่อที่จะตอบคำถามที่ว่า “ผลการดำเนินงานด้านสุขภาพและความปลอดภัยของเราคืออะไร (What is our Health and Safety Performance?)” ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น การวัดผลการดำเนินงานควรที่จะคลอบคลุมองค์ประกอบทั้งหมด (ดังที่ปรากฏในรูปที่ 2) โดยควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของวิธีการที่สมดุล (Balanced Approach) ที่สอดประสานกันไว้ด้วย
• ข้อมูลป้อนเข้า (Input): เป็นการเฝ้าติดตาม (Monitoring) ขนาด ลักษณะ และการกระจายตัวของอันตรายที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์กร โดยส่วนนี้จะเรียกว่า “การวัดอันตรายในส่วนที่เป็นกังวลมาก (Measures of the Hazard Burden)”
• กระบวนการ (Process): เป็นการเฝ้าติดตามในเชิงรุก (Active Monitoring) ถึงความเพียงพอ การพัฒนา การนำไปปฏิบัติและขอบข่ายการใช้งานของระบบการจัดการด้านสุขภาพและความ ปลอดภัย รวมถึงกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะช่วยส่งเสริมวัฒนธรรมด้านสุขภาพและความปลอดภัยในเชิงบวก โดยส่วนนี้จะเรียกว่า “การวัดความสำเร็จ (Measures of Success)”
• ผลลัพธ์ (Outcomes): เป็นการเฝ้าติดตามในเชิงรับ (Reactive Monitoring) ของผลลัพธ์ที่เลวร้ายอันแสดงให้เห็นในรูปแบบของการบาดเจ็บ เจ็บป่วย สูญเสีย และอุบัติเหตุที่มีศักยภาพในการที่จะก่อให้เกิดการบาดเจ็บ เจ็บป่วย หรือสูญเสีย โดยส่วนนี้จะเรียกว่า “การวัดความล้มเหลว (Measures of Failures)”
2.1 การวัดอันตรายในส่วนที่เป็นกังวลมาก (Measuring the Hazard Burden) กิจกรรม ต่าง ๆ ที่ถูกดำเนินการโดยองค์กรย่อมมีโอกาสที่ก่อให้เกิดอันตรายขึ้นมา ซึ่งอันตรายเหล่านี้จะมีความแตกต่างกันในลักษณะและนัยสำคัญ ทั้งนี้ความหลากหลาย ลักษณะ การกระจายตัว และนัยสำคัญของอันตรายในส่วนที่เป็น “อันตรายในส่วนที่เป็นกังวลมาก (The Hazard Burden)” จะช่วยในการพิจารณาความเสี่ยงที่จำเป็นต้องได้รับการควบคุม ซึ่งในทางอุดมคติแล้ว อันตรายควรที่จะได้รับการขจัดด้วยกันทั้งหมด ไม่ว่าจะด้วยการแนะนำกระบวนการที่มีความปลอดภัยกว่าที่มีอยู่เดิม หรือโดยการดำเนินการในช่วงระยะเวลาที่ไม่นานนักสำหรับกิจกรรมลักษณะเฉพาะที่ มีอันตราย แต่สิ่งเหล่านี้มักจะไม่ค่อยเกิดขึ้นในทางปฏิบัติได้มากนัก
ถ้าอันตรายในส่วนที่เป็นกังวลมากได้ถูกลดลงและถ้า ตัวแปรต่าง ๆ คงที่ รวมถึงมีความสม่ำเสมอของการดำเนินการของระบบการจัดการด้านสุขภาพและความ ปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ ก็จะทำให้เกิดผลในการลดต่ำลงของความเสี่ยงโดยรวม และลดระดับความรุนแรงของผลลัพธ์ในการบาดเจ็บและการเจ็บป่วยจากการทำงาน ตัวอย่างเช่น คลังสินค้าวัตถุอันตรายอาจจะถูกลดจำนวนลงเพื่อที่ความเสี่ยงที่เชื่อมโยงจะ ลดลงตามไปด้วย และในทางกลับกัน อันตรายในส่วนที่เป็นกังวลมากอาจจะเพิ่มขึ้นเมื่อองค์กรได้นำเอากิจกรรมใหม่ เข้ามาหรือเปลี่ยนแปลงสิ่งที่มีอยู่เดิม ตัวอย่างเช่น การเพิ่มขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของท่อส่งสารอันตรายก็อาจยังผลให้มีโอกาสที่ สารอันตรายในท่อเกิดการรั่วไหลออกมาในปริมาณที่มากขึ้น เป็นต้น ทั้งนี้การวัดอันตรายในส่วนที่เป็นกังวลมากจะตอบคำถามเหล่านี้ เช่น อะไรคืออันตรายที่เชื่อมโยงกับกิจกรรมของเรา อะไรคือนัยสำคัญของอันตราย (สูง/ต่ำ) ลักษณะและนัยสำคัญของอันตรายมีการแปรเปลี่ยนทั่วทั้งส่วนต่าง ๆ ขององค์กรได้อย่างไร หรือลักษณะและนัยสำคัญของอันตรายมีการแปรเปลี่ยนตลอดเวลาได้อย่างไร เรามีความสำเร็จในการขจัดหรือลดอันตรายหรือไม่ ผลกระทบอะไรที่เปลี่ยนแปลงธุรกิจของเราอันเนื่องมาจากลักษณะและนัยสำคัญของ อันตราย เป็นต้น
โดยข้อมูลเหล่านี้ จะเป็นสิ่งสำคัญที่จะป้อนเข้าไปในส่วนของการวางแผนและทบทวนกระบวนการ เพื่อที่จะมั่นใจได้ว่า ความพยายาม การจัดลำดับความสำคัญ และการเน้นย้ำที่ให้กับการควบคุมความเสี่ยง จะมีสัดส่วนที่ทัดเทียมกัน
2.2 การวัดระบบการจัดการด้านสุขภาพและความปลอดภัย (Measuring the Health and Safety Management System) ระบบการจัดการด้านสุขภาพและความปลอดภัยนั้น ถือได้ว่าเป็นกระบวนการที่จะเปลี่ยนทิศทางของอันตรายที่ไม่ถูกควบคุมให้กลับ มาเป็นความเสี่ยงที่ถูกควบคุม ทั้งนี้องค์ประกอบทั้งหมดของการวัดผลการดำเนินงาน (Performance Measurement) (ตามรูปที่ 1) มีความจำเป็นที่ต้องนำมาใช้เพื่อที่จะควบคุมความเสี่ยงได้อย่างมี ประสิทธิภาพ โดยมีองค์ประกอบที่สำคัญ ดังนี้คือ
• นโยบาย (Policy): กระบวนการวัด ผลควรที่จะจัดตั้งขึ้นเพื่อตรวจสอบถ้อยแถลงตามลายลักษณ์อักษรที่ระบุอยู่ใน นโยบายด้านสุขภาพและความปลอดภัยว่า “ยังคงมีอยู่จริง – เป็นไปตามข้อกำหนดตามกฎหมาย (Legal Requirements) และการปฏิบัติที่ดีเยี่ยม (Best Practice) – ทันต่อสภาวการณ์ปัจจุบัน – มีการนำไปปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ” หรือไม่ ทั้งนี้ข้อมูลที่จะแสดงให้เห็นว่านโยบายนั้นได้มีการนำไปปฏิบัติได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ควรที่จะมีการเก็บข้อมูลตลอดทั่วทั้งกระบวนการของการวัดผลการดำเนินงานด้าน สุขภาพและความปลอดภัย และจากกระบวนการตรวจประเมิน
• การจัดระเบียบ (Organizing): กระบวนการวัดผลควรที่จะใช้เป็นเครื่องชี้วัดถึง “การมีอยู่จริง ความเพียงพอ และการนำไปปฏิบัติของการจัดแจง (Arrangements)” เพื่อที่จะจัดตั้งและคงไว้ซึ่งการจัดการในการควบคุมด้านสุขภาพและความ ปลอดภัยขององค์กร, การส่งเสริมประสิทธิภาพของความร่วมมือและการมีส่วนร่วมของแต่ละบุคคล ตัวแทนด้านความปลอดภัยและกลุ่มที่เกี่ยวข้อง เพื่อที่ว่าประเด็นสุขภาพและความปลอดภัยจะได้เป็นความพยายามร่วมกัน, ความมั่นใจในประสิทธิภาพของการสื่อสารทั่วทั้งองค์กร และการรักษาไว้ซึ่งความสามารถของผู้ปฏิบัติงานขององค์กร
• การวางแผนและการนำไปปฏิบัติ (Planning and Implementation): กระบวนการวัดผลควรที่จะใช้เป็นเครื่องชี้วัดถึง “การมีอยู่จริง ความเพียงพอ และการนำไปปฏิบัติของระบบการวางแผน” ทั้งนี้ ระบบการวางแผน (Planning System) ควรจะสามารถทำสิ่งเหล่านี้ คือ นำส่งแผนงานที่มีวัตถุประสงค์เพื่อคงไว้ซึ่งการพัฒนาและปรับปรุงระบบการ จัดการด้านสุขภาพและความปลอดภัย, ออกแบบ พัฒนา ติดตั้งและดำเนินการจัดการอย่างเหมาะสม ระบบการควบคุมความเสี่ยง และการระมัดระวังป้องกันในสถานที่ปฏิบัติงาน ที่มีสัดส่วนเดียวกันกับความจำเป็น อันตราย และความเสี่ยงขององค์กร, การจัดลำดับความสำคัญของกิจกรรมที่มีประสิทธิภาพที่อยู่บนพื้นฐานของการ ประเมินความเสี่ยง, มั่นใจในความถูกต้องของความสมดุลของทรัพยากรและความพยายามที่ถูกใช้อย่างมี สัดส่วนอันมีเป้าหมายที่สอดคล้องกับอันตรายหรือความเสี่ยงที่สำคัญทั่วทั้ง องค์กร (ตัวอย่างเช่น มีการใช้ความพยายามอย่างไม่มีสัดส่วนหรือไม่ ในการป้องกันการลื่นล้ม/สะดุดเมื่อเปรียบเทียบกับการควบคุมอันตรายจาก อุบัติเหตุหลัก ๆ หรือการป้องกันเพลิงไหม้), การดำเนินการ การคงรักษาไว้ และการปรับปรุงระบบมีความเหมาะสมกับความจำเป็นของการเปลี่ยนแปลง และกระบวนการของอันตรายหรือความเสี่ยง, และการส่งเสริมวัฒนธรรมด้านสุขภาพและความปลอดภัยในเชิงบวก
ทั้งนี้ ตลอดช่วงเวลาที่ได้รับข้อมูลจากการวัดผลกิจกรรมอันหลากหลายและจากแหล่งอื่น ๆ (เช่น การตรวจประเมินประเด็นที่สำคัญ ๆ) ควรที่จะชี้ให้เห็นได้ว่า ระบบการวางแผนได้นำส่งการจัดการ และระบบการควบคุมความเสี่ยงที่มีความเหมาะสม โดยควรที่จะมีประสิทธิผล (Effective-ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ถูกที่ ถูกเวลา) มีประสิทธิภาพ (Efficient-ทำได้ตามที่คาดหวัง) และน่าเชื่อถือ (Reliable-ความคงเส้นคงวาในการใช้งาน)
• การวัดผลการดำเนินงาน (Measuring Performance): โดยตัวของกระบวนการวัดผลเองนั้น ถือได้ว่าเป็นองค์ประกอบที่จำเป็นของระบบการจัดการด้านสุขภาพและความปลอดภัย ดังนั้นวิธีการวัดผลก็มีความจำเป็นที่ต้องได้รับการเฝ้าติดตามด้วยเช่นกัน
• การตรวจประเมินและทบทวน (Audit and Review): ทั้งนี้การตรวจประเมินและทบทวนจากขั้นตอนสุดท้ายของวงรอบการควบคุม (Control Loop) ของการจัดการด้านสุขภาพและความปลอดภัย ควรที่จะยืนยันได้ถึงการมีอยู่จริง มีความเพียงพอ และนำไปสู่การปฏิบัติ ซึ่งถือว่ามีความจำเป็นต้องถูกรวมเข้าไปอยู่ในกระบวนการวัดผลด้วย
2.3 การวัดความล้มเหลว-การเฝ้าติดตามเชิงรับ (Measuring Failure-reactive Monitoring): เมื่อเราได้จัดการกับการวัดผลกิจกรรมต่าง ๆ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อการป้องกันเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บหรือเจ็บ ป่วยจากการทำงาน ที่เรียกว่า “การเฝ้าติดตามเชิงรุก (Active Monitoring)” แล้ว สำหรับความล้มเหลวในการควบคุมความเสี่ยงก็มีความจำเป็นต้องถูกวัดผลด้วยเช่น กัน ที่เรียกว่า “การเฝ้าติดตามเชิงรับ (Reactive Monitoring)” เพื่อที่จะสร้างโอกาสให้องค์กรในการตรวจสอบผลการดำเนินงาน ได้เรียนรู้จากความล้มเหลวและปรับปรุงระบบการจัดการด้านสุขภาพและความ ปลอดภัย
ซึ่งการเฝ้าติดตามเชิงรับนี้ จะรวมระบบต่าง ๆ เพื่อชี้บ่งและรายงานถึงการบาดเจ็บและการเจ็บป่วยจากการทำงาน, ความสูญเสียอื่น ๆ (เช่น ความเสียหายของทรัพย์สิน), อุบัติการณ์ รวมถึงเหตุการณ์ที่มีโอกาสที่จะก่อให้เกิดการบาดเจ็บ เจ็บป่วยหรือสูญเสีย, อันตรายและความผิดพลาด รวมไปจนถึงจุดอ่อนหรือการละเลยมาตรฐานในการปฏิบัติงานและระบบต่าง ๆ ซึ่งโดยมากแล้วมักนิยมใช้วิธีสอบสวนเหตุการณ์ต่าง ๆ (Investigations) ที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ ระบบเฝ้าติดตามเชิงรับควรที่จะสามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้ เช่น มีการเกิดความล้มเหลวขึ้นหรือไม่ (การบาดเจ็บ/เจ็บป่วย/สูญเสีย/อุบัติการณ์), ความล้มเหลวเหล่านั้นเกิดขึ้นที่ไหน, ลักษณะของความล้มเหลวเป็นอย่างไร, ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร, เหตุผลของความล้มเหลวคืออะไร, ต้องปรับปรุงอะไรบ้างที่จำเป็นสำหรับระบบการจัดการด้านสุขภาพและความปลอดภัย เป็นต้น
2.4 การวัดผลทางวัฒนธรรมด้านสุขภาพและความปลอดภัย (Measuring the Health and Safety Culture): วัฒนธรรมด้านสุขภาพและความปลอดภัยถือได้ว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้มั่นใจ ได้ว่าการควบคุมอันตรายมีประสิทธิภาพ โดยระบบการจัดการด้านสุขภาพและความปลอดภัยเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรม ความปลอดภัย ซึ่งก็จะย้อนกลับมาส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของระบบการจัดการด้านสุขภาพและ ความปลอดภัยในที่สุด ดังนั้นการวัดผลในแง่มุมของวัฒนธรรมด้านสุขภาพและความปลอดภัย จึงถือเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทั้งหมดของการวัดผลดำเนินงานด้านสุขภาพและ ความปลอดภัย ทั้งนี้มีหลาย ๆ กิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมการพัฒนาวัฒนธรรมความปลอดภัยในเชิงบวกที่ควรจะได้รับ การวัดผลด้วย ซึ่งจะรวมอยู่ภายใต้หัวข้อ “การควบคุม (Control)-การสื่อสาร (Communication)-ความร่วมมือ (Co-operation) และความสามารถ (Competence)”
คำว่า “บรรยากาศของสุขภาพและความปลอดภัย (Health and Safety Climate)” ได้ถูกใช้เพื่ออธิบายความชัดเจนของผลที่ออกมา (Outputs) ของวัฒนธรรมด้านสุขภาพและความปลอดภัยขององค์กร ซึ่งสังเกตเห็นและรับรู้โดยตัวบุคคลหรือกลุ่มบุคคล ณ ช่วงเวลาหนึ่ง โดยใช้วิธีการสำรวจ (Survey) เพื่อที่จะได้รับทราบความคิดเห็นของผู้ปฏิบัติงานในแง่มุมที่สำคัญ ๆ เกี่ยวกับสุขภาพและความปลอดภัยภายในองค์กรของตนเอง
สุขภาพและความ ปลอดภัยที่เชื่อมโยงกับพฤติกรรมของแต่ละบุคคลในทุกระดับขององค์กรนั้น จะได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมด้านสุขภาพและความปลอดภัย และในขณะเดียวกันพฤติกรรมของบุคลากรก็จะย้อนกลับมาส่งผลกระทบต่อลักษณะของ วัฒนธรรมองค์กรด้วยเช่นกัน ทั้งนี้พฤติกรรมที่ส่งเสริมและสนับสนุนวัฒนธรรมด้านสุขภาพและความปลอดภัยใน แง่บวกและระบบการจัดการด้านสุขภาพและความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพนั้น จำเป็นที่จะถูกรวมเข้าอยู่ภายในกระบวนการวัดผลด้วย
2.5 การวัดความก้าวหน้าด้วยแผนงานและวัตถุประสงค์ (Measuring Progress with Plans and Objectives): หนึ่งในผลที่ออกมา (Outputs) ที่สำคัญของกระบวนการวางแผนก็คือ แผนงานและวัตถุประสงค์ที่จะใช้ในการพัฒนา ดำรงรักษาไว้ และปรับปรุงระบบการจัดการด้านสุขภาพและความปลอดภัย โดยแผนงานต่าง ๆ ที่ใช้ดำเนินการในแต่ละส่วนนั้น จำเป็นต้องอยู่ในแนวทางที่เป็นไปตามจุดมุ่งหมายโดยรวมขององค์กร และเป็นวิธีที่ปะติดปะต่อกันในการควบคุมความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเป้าหมายทั้งหมดที่ตั้งไว้ที่ระดับสูงสุดขององค์กรนั้น จำเป็นต้องเริ่มเห็นผลหลังจากใช้แผนงานและวัตถุประสงค์ต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงกัน ซึ่งสิ่งที่ว่านี้ควรที่จะคลอบคลุมในทุกระดับทั่วทั้งองค์กร
โดยแผนงาน ด้านสุขภาพและความปลอดภัยและวัตถุประสงค์ จะต้อง SMART ซึ่งย่อมาจาก S = Specific (เป็นการเฉพาะ), M = Measurable (สามารถวัดผลได้), A = Attainable (สามารถบรรลุผลได้), R = Realistic (มีความเป็นจริง)/Relevant (ตรงประเด็น) และ T = Timebound (มีขอบเขตระยะเวลาดำเนินการ)
ดังนั้น สิ่งแรกที่ควรตรวจสอบในกระบวนการวัดผล คือ แผนงานและวัตถุประสงค์เป็นไปตามหลักการของ SMART หรือไม่ กระบวนการวัดผลด้วยแผนงานและวัตถุประสงค์สามารถถูกทำให้ง่ายขึ้นโดย การระบุว่า “ใครเป็นผู้ดำเนินการ (Who), ทำอะไร (What), ทำเมื่อไหร่ (When) และด้วยผลเช่นไร (With What Result)” และควรมีการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอในช่วงระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้เห็นถึงความก้าวหน้าเมื่อเทียบกับมาตรฐานของผลการดำเนินงานที่กำหนด ไว้ ซึ่งการตรวจสอบจำเป็นต้องดำเนินการในทุกระดับทั่วทั้งองค์กร จึงจะสามารถสะท้อนให้เห็นถึงผลการดำเนินงานที่แท้จริงได้ โดยถ้าเป็นที่ระดับตัวบุคคล อาจจะวัดผลจากความรับผิดชอบของตนเองที่มีต่อระบบสุขภาพและความปลอดภัย และควรมีการให้รางวัลตอบแทนบุคคลเหล่านี้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้แล้ว กระบวนการวัดผลด้วยแผนงานและวัตถุประสงค์ยังจะให้ข้อมูลป้อนเข้า (Input) ที่เป็นประโยชน์ต่อการรายงานผลการดำเนินงานด้านสุขภาพและความปลอดภัยใน ทุกระดับขององค์กรอีกด้วย
ส่วนสำคัญอีกประการหนึ่งของกระบวนการวัดผล ก็คือ การเฝ้าติดตามปฏิบัติการแก้ไข (Remedial Actions) ของพื้นที่ที่ได้รับการชี้บ่งว่าต้องการการปรับปรุง โดยปฏิบัติการแก้ไขเหล่านี้สามารถที่จะเพิ่มจำนวนขึ้นได้จากการตรวจประเมิน (Audits) เช่นเดียวกับการเฝ้าติดตามเชิงรุกและเชิงรับนั่นเอง
2.6 การวัดผลการดำเนินการจัดการและระบบควบคุมความเสี่ยง (Measuring Management Arrangement and Risk Control Systems): การวัดผลการดำเนินการจัดการและระบบควบคุมความเสี่ยง (ระดับที่ 1 และระดับที่ 2 ตามรูปที่ 2) ควรที่จะคลอบคลุมใน 3 ประเด็น ดังนี้ คือ
• ความสามารถ (Capability): ใน หลาย ๆ องค์กรพบว่า ระบบการจัดการด้านสุขภาพและความปลอดภัยจะได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็น ค่อยไปตลอดเวลา มากกว่าการออกแบบอย่างมีหลักการแต่แรกเริ่ม ซึ่งจะผิดแผกแตกต่างกับองค์กรที่มีกระบวนการผลิตที่ผ่านการคิดพิจารณาอย่าง ระมัดระวังและเป็นระบบ ซึ่งจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าจะได้รับการออกแบบมาเพื่อที่จะสามารถส่งมอบ ผลลัพธ์ (Outcomes) ที่พึงปรารถนาได้ระเบียบวินัย (Discipline) ก็มีความจำเป็นในการประยุกต์ใช้กับการดำเนินการจัดการและระบบควบคุมความ เสี่ยง โดยระบบวัดผลการดำเนินงานต้องรวมถึงการตรวจสอบว่า มีการดำเนินการจัดการในลักษณะเฉพาะหรือไม่ (เช่น ระบบการสวบสวนอุบัติเหตุ) หรือการควบคุมความเสี่ยง (เช่น ระบบควบคุมผู้รับเหมา) มีความสามารถในการส่งมอบผลลัพธ์ที่ต้องการและเหมาะสมสำหรับจุดประสงค์หรือ ไม่ ซึ่งในทางปฏิบัติแล้ว ข้อมูลเหล่านี้อาจจะเก็บรวบรวมมาจากการตรวจประเมิน หรือทบทวนการดำเนินงานและระบบที่มีการใช้งานอยู่
ถ้าระบบวัดผลการดำเนินงานไม่คลอบคลุมถึงการตรวจสอบใน เรื่องที่ว่านี้แล้ว ก็จะเป็นข้อจำกัดในการวัดผลการดำเนินงานของระบบการจัดการด้านสุขภาพและความ ปลอดภัย และยิ่งถ้ามีข้อจำกัดในการออกแบบแต่ดั้งเดิมก็จะทำให้ไม่มีสิ่งใดมา รับประกันได้ว่าผลลัพธ์ที่ต้องการจะบรรลุผลสำเร็จได้ ทั้งนี้มี 2 แง่มุมที่จำเป็นในการพิจารณา คือ (a) มีการนำ “ระบบ (System)” มาใช้งานหรือไม่ และ (b) ระบบเป็นไปใน “เชิงเทคนิคที่เพียงพอ (Technically Adequate)” หรือไม่สำหรับการประยุกต์ใช้งานที่ต้องการ
(a) ในการจัดตั้งระบบเช่นที่ว่านี้ในการใช้งาน หมายถึง เป็นการตรวจสอบว่า “ระบบ (System)” นั้น มีกระบวนการ PCDA (Plan-Do-Check-Act) เพื่อที่ว่า
- ขอบข่ายและวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนจะถูกกำหนดขึ้นมา เช่น อะไรคือสิ่งที่ระบบตั้งใจส่งมอบ
- ความรับผิดชอบที่ชัดเจนได้ถูกกำหนดให้แต่ละตัวบุคคลภายในระบบ และสามารถที่จะทำการตรวจสอบได้ด้วย
- มีการระบุความสามารถของบุคคลที่ดำเนินการระบบ
- บุคคลผู้ถูกคาดหวังที่จะเป็นผู้ดำเนินการระบบ ได้มีโอกาสที่จะให้ข้อมูลกับระบบที่ได้ออกแบบ
- มีขั้นตอนดำเนินการที่ระบุว่า ระบบจะถูกนำมาปฏิบัติได้อย่างไร และมีการกำหนดมาตรฐานผลการดำเนินงานที่คาดหวัง
- มีการระบุวิธีในการเฝ้าติดตามการปฏิบัติงานและประสิทธิภาพของระบบ
- มีกระบวนการทบทวนการออกแบบและปฏิบัติการของระบบ และนำเอาแนวปฏิบัติที่เหมาะสมมาใช้แก้ไขข้อบกพร่องและการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
- ทรัพยากรที่เหมาะสมได้ถูกจัดสรรเพื่อดำเนินการระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
(b) ลำพังแค่องค์ประกอบของ PCDA ยังถือว่าไม่เพียงพอ โดยระบบจำเป็นต้องมี “เทคนิคที่เพียงพอ (Technically Adequate)” หรือเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ ตัวอย่างเช่น การดำเนินการสอบสวนอุบัติเหตุจะมีคุณค่าที่จำกัด ถ้าระบบสอบสวนไม่ได้บ่งชี้สาเหตุที่แท้จริงของอุบัติเหตุ ในทำนองเดียวกัน ระบบที่มีเป้าหมายที่จะควบคุมความเสี่ยงที่เชื่อมโยงกับการจัดการความ เปลี่ยนแปลงของโรงงานสารเคมี จะไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ถ้าการเปลี่ยนแปลงนั้นมีเพียงเฉพาะทางวิศวกรรมหรือวัสดุ แต่ไม่รวมถึงบุคลากร โครงสร้างองค์กร เครื่องมือ หรือวิธีการ เป็นต้น
เกณฑ์มาตรฐาน (Yardsticks) สำหรับการตรวจสอบ “ความเพียงพอทางด้านเทคนิค” มีความเกี่ยวข้องกับข้อกำหนดทางกฎหมาย (Legal Requirements) และการปฏิบัติที่ดีเยี่ยม (Best Practice) รวมถึงการพิจารณาประเด็นปัจจัยส่วนบุคคล (Human Factors) ซึ่งองค์กรต้องศึกษาแนวทางการลดข้อผิดพลาดและพฤติกรรมที่สร้างผลกระทบ (Reducing Error and Influencing Behavior) และข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติที่ดีเยี่ยม ซึ่งก็อาจเรียนรู้ผ่านทางเอกสารตีพิมพ์ที่ระบุถึงแนวทางปฏิบัติที่ดีเยี่ยม หรือผ่านทางการเปรียบเทียบมาตรฐาน (Benchmarking) กับผู้อื่น
ขั้นตอนสำหรับการดำเนินการระบบ ควรที่จะมีความเป็นจริงและสามารถบรรลุผลได้ในสิ่งที่ต้องการซึ่งขึ้นอยู่กับ ตัวบุคคลที่เป็นคนดำเนินการ ตัวอย่างเช่น บุคคลที่ดำเนินการสามารถที่จะกระทำได้อย่างแท้จริงหรือไม่ ในสิ่งที่องค์กรต้องการให้พวกเขากระทำตามมาตรฐานที่วางไว้ ณ ช่วงระยะเวลาที่ดำเนินการนั้น เป็นต้น ทั้งนี้ขั้นตอนดำเนินการนี้ควรที่จะรวมถึงการเข้ากันได้ (Compatible) กับขั้นตอนดำเนินการอื่น ๆ ในองค์กรที่นำมาใช้จัดการกับแง่มุมอื่น ๆ ของธุรกิจ
• การปฏิบัติตาม (Compliance): ไม่ สำคัญว่า การดำเนินการจัดการและระบบควบคุมความเสี่ยงได้ถูกออกแบบได้ดีเพียงใด ผู้ดำเนินการจะไม่สามารถบรรลุผลลัพธ์ที่ปรารถนาได้เลยถ้าไม่มีการดำเนินการ หรือปฏิบัติตาม การวัดผลดำเนินการต้องจัดสรรข้อมูลเพื่อพิจารณาถึงระดับของการปฏิบัติตามของ การดำเนินการจัดการและระบบการควบคุมความเสี่ยง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวดถ้าผู้ปฏิบัติงานเหล่านั้นเข้าใจว่า การดำเนินการจัดการหรือระบบควบคุมความเสี่ยงได้ถูกคาดหวังถึงปฏิบัติการไว้ อย่างไร และจะถือว่าเป็นประโยชน์ถ้าสามารถยึดถือและปฏิบัติงานได้ตามที่ออกแบบและ แสดงไว้ในแผนภูมิลำดับขั้นตอนปฏิบัติงาน (Flowchart) ซึ่งสามารถที่จะใช้เพื่อตัดสินใจว่า แง่มุมอะไรของกระบวนการที่จำเป็นต้องได้รับการวัดผล เพื่อที่จะได้ตรวจสอบว่ากระบวนการเหล่านี้ได้ถูกนำไปปฏิบัติตามที่ตั้งใจไว้ หรือไม่ ทั้งนี้ พื้นฐานสำหรับการเฝ้าติดตามเชิงรุกของการปฏิบัติตาม คือ มาตรฐานการดำเนินงาน (Performance Standards) ที่จำกัดความว่า “ใครเป็นผู้ดำเนินการ (Who), ทำอะไร (What), ทำเมื่อไหร่ (When) และ ด้วยผลเช่นไร (With What Result)”
• ขอบข่ายการใช้งานภายในองค์กร (Deployment): ในองค์กรขนาดใหญ่ ผู้จัดการอาวุโสจะมีความจำเป็นต้องใช้ข้อมูลเพื่อพิจารณาองค์ประกอบต่าง ๆ ของระบบสุขภาพและความปลอดภัยโดยรวมที่นำมาใช้ และการปฏิบัติการอย่างมีประสิทธิภาพทั่วทั้งองค์กร มากกว่าที่จะแยกส่วนพิจารณา ดังนั้นการวัดผลขอบข่ายการใช้งานภายในองค์กรจึงเป็นสิ่งที่ต้องการ ซึ่งควรจะรวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับระดับต่าง ๆ ของการปฏิบัติตามการจัดการในลักษณะเฉพาะหรือระบบควบคุมความเสี่ยงตลอดทั่ว ทั้งองค์กร
การผูกรวมเข้าด้วยกันของการวัดผลด้านความสามารถ (Capability) การปฏิบัติตาม (Compliance) และขอบข่ายการใช้งานภายในองค์กร (Deployment) ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น จะให้ข้อมูลในรูปแบบ 3 มิติของการจัดการหรือระบบควบคุมความเสี่ยง (ดังแสดงในรูปที่ 3) โดยจุดมุ่งหมายจะอยู่ที่พื้นที่แรเงาเข้มในส่วนที่แสดงถึง มีความสามารถสูง (High Capability) และมีการปฏิบัติตามสูง (High Compliance) รวมถึงมีขอบข่ายการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Effectively Deployed) ตลอดทั่วทั้งองค์กร
วิธีนี้จะดำเนินการจัดการด้วยวิถีทางที่จะใช้วัดผลการ ดำเนินงานที่จะสามารถประยุกต์ใช้ในแต่ละระดับที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น การมองไปที่การดำเนินการจัดการในลักษณะเฉพาะ (เช่น ความสามารถ) หรือระบบควบคุมความเสี่ยง (เช่น การเข้าสู่ที่อับอากาศ) หรือการมองไปที่การดำเนินการจัดการและระบบควบคุมความเสี่ยงในพื้นที่งานที่ มีลักษณะเฉพาะหรือตลอดทั่วทั้งองค์กร
รูปที่ 3 แสดงการวัดผลในเชิง 3 มิติ (Three Dimensions of Measurement)
การวัดผลการปฏิบัติตาม (Compliance Measurement) ควรที่จะให้ข้อมูลเพื่อพิจารณาว่าการระมัดระวังป้องกันในสถานที่ปฏิบัติงาน ได้มีสิ่งเหล่านี้ หรือไม่ คือ “การนำมาใช้ (In Place) ดำเนินการ (Operating) และมีประสิทธิผล (Effective)” โดยการวัดผลนั้น หมายความถึง การเปรียบเทียบสิ่งที่เป็นอยู่กับมาตรฐานที่ระบุไว้ (Defined Standard) หรือกับเกณฑ์มาตรฐาน (Yardsticks) โดยคำจำกัดความของการระมัดระวังป้องกันในสถานที่ปฏิบัติงาน ก็คือ เป็นไปเพื่อที่จะควบคุมความเสี่ยงที่มีลักษณะเฉพาะนั้น และจะเป็นการสร้างพื้นฐานของการวัดผลการดำเนินงานในการควบคุมความเสี่ยง เหล่านั้นนั่นเอง ทั้งนี้จะทำให้เกิดประโยชน์มากยิ่งขึ้นถ้าการระมัดระวังป้องกันในสถานที่ ปฏิบัติงานอยู่ภายใต้ประเด็น “4 P” อันประกอบไปด้วย “ที่ทำการ (Premises) โรงงานและวัสดุ (Plant and Materials) ขั้นตอนดำเนินการ (Procedures) และผู้ดำเนินการ (Peoples)” ดังแสดงในรูปที่ 4
รูปที่ 4 การระมัดระวังป้องกันในสถานที่ปฏิบัติงาน
(Workplace Precautions)
ตัวอย่างเช่น สถานที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการขนส่ง (Transportation) สามารถนำการระมัดระวังป้องกันในสถานที่ปฏิบัติงานมาใช้ โดยพิจารณาอยู่บนหลัก “4 P” ดังนี้คือ ที่ทำการ (Premises) ได้แก่ การกำหนดมาตรฐานการขับขี่ให้เป็นแบบระบบวิ่งทางเดียว (One Way Systems)-การขจัดหรือการลดความจำเป็นในการถอยหลัง-ถนนทางวิ่งอยู่ในสภาพที่ ดี-มีลูกระนาดลดความเร็ว โรงงาน (Plant) ได้แก่ การเลือกยานพาหนะที่เหมาะสม-ยานพาหนะถูกบำรุงรักษาให้อยู่ในสภาพดี-มีสายรัด นิรภัยอยู่ในสภาพดี-มีอุปกรณ์ช่วยเวลาถอยหลัง ขั้นตอนดำเนินการ (Procedures) ได้แก่ ความเร็วจำกัดที่ตั้งไว้สำหรับยานพาหนะ-โช็คอัพยานพาหนะอยู่ในสภาพที่เหมาะ สม-การถอยหลังได้รับการควบคุม-พนักงานขับได้รับอนุญาต-พนักงานขับอยู่ใน ตำแหน่งที่ปลอดภัยในระหว่างการขนถ่ายสินค้า ผู้ดำเนินการ (Peoples) ได้แก่ พนักงานขับมีความสามารถ-พนักงานขับปฏิบัติตามความเร็วที่จำกัดไว้-คนเดิน เท้าใช้เส้นทางเดินที่กำหนดไว้ เหล่านี้เป็นต้น
ทั้งนี้ ในแต่ละประเด็นของการระมัดระวังป้องกันในสถานที่ปฏิบัติงานที่ถูกกำหนดไว้ นั้น จะอยู่ภายในขอบข่ายของ “อะไรที่ควรวัดผล (What to Measure)” โดยการเฝ้าติดตามการปฏิบัติตามข้อควรระวังในสถานที่ปฏิบัติงานนี้ ถือว่าเป็นองค์ประกอบหลักในกิจกรรมวัดผลที่ควรทำเป็นกิจวัตรด้วย
เอกสารอ้างอิง
- The Measurement of Health & Safety Conditions at Work, International Research Journal of Finance & Economics; Nikolaos Giovanis, 2010.
- A Guide To Measuring Health & Safety Performance, Health & Safety Executive (HSE); Dec 2001.
- Health & Safety Benchmarking, Health & Safety Executive (HSE); Dec 2001.
การประเมินภาวะสุขภาพชุมชน
หมายถึง กระบวนการศึกษา วิจัยปัญหาทางด้านสุขภาพของประชากรในชุมชน เพื่อให้ได้ผลบ่งชี้ถึงสถานภาพทางสุขภาพอนามัยของชุมชนว่าอยู่ในระดับใด
และปัญหาสาธารณสุขใดบ้างที่ต้องปรับปรุงแก้ไขโดยอาศัยการเก็บรวบรวมข้อมูลจาชุมชนเป็นพื้นฐาน
พฤติกรรมเสี่ยงของชุมชน หมายถึง พฤติกรรมทางสุขภาพใดๆ ของบุคคลในชุมชน เมื่อปฏิบัติแล้วก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ นำไปสู่ความเจ็บป่วยเป็นโรค และเป็นอันตรายต่อชีวิตของตนเอง ครอบครัว ตลอดจนบุคคลอื่นๆ ในชุมชนโดยรวม
เมื่อวิเคราะห์ถึงความสำคัญ ของการประเมินภาวะสุขภาพ และพฤติกรรมเสี่ยงของชุมชน จะพบว่าการประเมินในเรื่องดังกล่าว เป็นสิ่งที่ทำให้ทราบถึงสถานการณ์หรือระดับของปัญหาสุขภาพอนามัยของชุมชน ช่วยทำให้รู้ถึงสาเหตุ และปัจจัยการเกิดปัญหาสุขภาพในชุมชนว่าเกิดมาจากสาเหตุหรือปัจจัยใดบ้าง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินแก้ไขปัญหาได้ตรงประเด็น และตอบสนองความต้องการของชุมชนอย่างแท้จริง อีกทั้งยังส่งผลดีต่อการร่วมมือกันของประชาชนในชุมชนเพื่อกำหนดนโยบายหรือ แผนงานทางด้านสุขภาพให้ดำเนินไปในทิศทางเดียวกัน
การประเมินภาวะสุขภาพและ พฤติกรรมเสี่ยงของชุมชนเปรียบได้กับการประเมินภาวะสุขภาพและพฤติกรรมเสี่ยง ของตนเองและครอบครัว คือ มีจุดมุ่งหมายเพื่อต้องการทราบถึงภาวะสุขภาพและสาเหตุของปัญหาสุขภาพ เพื่อที่จะได้หาแนวทางป้องกันและแก้ไขได้อย่างทันท่วงที และการประเมินภาวะสุขภาพและพฤติกรรมเสี่ยงในระดับชุมชนนั้น มีความสลับซับซ้อนมากกว่าในเรื่องของการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยต้องมีการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลทางด้านสุขภาพของประชากรในชุมชน โดยรวม เพื่อให้ได้ข้อบ่งชี้ถึงสถานภาพทางสุขภาพของชุมชน เช่น ข้อมูลลักษณะประชากร อัตราการเกิด อัตราการตาย อัตราการเจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ ข้อมูลทางเศรษฐกิจและสังคม ข้อมูลในเรื่องของสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย ข้อมูลวิถีการดำเนินชีวิตของผู้คนในชุมชน ทั้งในเรื่องของการประกอบอาชีพ การพักผ่อนหย่อยใจ พฤติกรรมการบริโภค และรวมถึงพฤติกรรมสุขภาพในด้านอื่นๆ ตลอดจนข้อมูลเกี่ยวกับการบริการด้านสาธารณสุขในชุมชนและข้อมูลที่มีผลต่อ สุขภาพทั้งหมด
ชุมชนที่มีการประเมินภาวะ สุขภาพและพฤติกรรมเสี่ยงในชุมชนของตนเองอย่างสม่ำเสมอย่อมเป็นผลดีต่อสุขภาพ อนามัยของชุมชน และบุคคลที่อยู่อาศัยในชุมชน เพราะเกิดปัญหาสุขภาพหรือพฤติกรรมเสี่ยงใดๆ ขึ้นในชุมชน ก็จะได้หาวิธีการป้องกันและแก้ไขให้ปัญหาดังกล่าวบรรเทาเบาบางลง หรือหมดสิ้นไปได้อย่างรวดเร็ว หรืออาจปรับเปลี่ยน แก้ไขพฤติกรรมเสี่ยงในชุมชนให้เป็นพฤติกรรมที่พึงประสงค์ต่อสุขภาพของชุมชน โดยส่วนรวม รวมทั้งดำรงรักษาไว้ซึ่งภาวะสุขภาพที่ดีของชุมชนให้คงอยู่ต่อไป
พฤติกรรมเสี่ยงของชุมชน หมายถึง พฤติกรรมทางสุขภาพใดๆ ของบุคคลในชุมชน เมื่อปฏิบัติแล้วก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ นำไปสู่ความเจ็บป่วยเป็นโรค และเป็นอันตรายต่อชีวิตของตนเอง ครอบครัว ตลอดจนบุคคลอื่นๆ ในชุมชนโดยรวม
เมื่อวิเคราะห์ถึงความสำคัญ ของการประเมินภาวะสุขภาพ และพฤติกรรมเสี่ยงของชุมชน จะพบว่าการประเมินในเรื่องดังกล่าว เป็นสิ่งที่ทำให้ทราบถึงสถานการณ์หรือระดับของปัญหาสุขภาพอนามัยของชุมชน ช่วยทำให้รู้ถึงสาเหตุ และปัจจัยการเกิดปัญหาสุขภาพในชุมชนว่าเกิดมาจากสาเหตุหรือปัจจัยใดบ้าง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินแก้ไขปัญหาได้ตรงประเด็น และตอบสนองความต้องการของชุมชนอย่างแท้จริง อีกทั้งยังส่งผลดีต่อการร่วมมือกันของประชาชนในชุมชนเพื่อกำหนดนโยบายหรือ แผนงานทางด้านสุขภาพให้ดำเนินไปในทิศทางเดียวกัน
การประเมินภาวะสุขภาพและ พฤติกรรมเสี่ยงของชุมชนเปรียบได้กับการประเมินภาวะสุขภาพและพฤติกรรมเสี่ยง ของตนเองและครอบครัว คือ มีจุดมุ่งหมายเพื่อต้องการทราบถึงภาวะสุขภาพและสาเหตุของปัญหาสุขภาพ เพื่อที่จะได้หาแนวทางป้องกันและแก้ไขได้อย่างทันท่วงที และการประเมินภาวะสุขภาพและพฤติกรรมเสี่ยงในระดับชุมชนนั้น มีความสลับซับซ้อนมากกว่าในเรื่องของการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยต้องมีการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลทางด้านสุขภาพของประชากรในชุมชน โดยรวม เพื่อให้ได้ข้อบ่งชี้ถึงสถานภาพทางสุขภาพของชุมชน เช่น ข้อมูลลักษณะประชากร อัตราการเกิด อัตราการตาย อัตราการเจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ ข้อมูลทางเศรษฐกิจและสังคม ข้อมูลในเรื่องของสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย ข้อมูลวิถีการดำเนินชีวิตของผู้คนในชุมชน ทั้งในเรื่องของการประกอบอาชีพ การพักผ่อนหย่อยใจ พฤติกรรมการบริโภค และรวมถึงพฤติกรรมสุขภาพในด้านอื่นๆ ตลอดจนข้อมูลเกี่ยวกับการบริการด้านสาธารณสุขในชุมชนและข้อมูลที่มีผลต่อ สุขภาพทั้งหมด
ชุมชนที่มีการประเมินภาวะ สุขภาพและพฤติกรรมเสี่ยงในชุมชนของตนเองอย่างสม่ำเสมอย่อมเป็นผลดีต่อสุขภาพ อนามัยของชุมชน และบุคคลที่อยู่อาศัยในชุมชน เพราะเกิดปัญหาสุขภาพหรือพฤติกรรมเสี่ยงใดๆ ขึ้นในชุมชน ก็จะได้หาวิธีการป้องกันและแก้ไขให้ปัญหาดังกล่าวบรรเทาเบาบางลง หรือหมดสิ้นไปได้อย่างรวดเร็ว หรืออาจปรับเปลี่ยน แก้ไขพฤติกรรมเสี่ยงในชุมชนให้เป็นพฤติกรรมที่พึงประสงค์ต่อสุขภาพของชุมชน โดยส่วนรวม รวมทั้งดำรงรักษาไว้ซึ่งภาวะสุขภาพที่ดีของชุมชนให้คงอยู่ต่อไป
การประเมินภาวะสุขภาพของชุมชนที่มีประสิทธิภาพจะต้องมีกระบวนการเก็บรวบรวมข้อมูลของชุมชนอย่างเป็นระบบและได้ข้อมูลสมบูรณ์ครบถ้วย
จึงทำให้เกิดกรอบแนวคิด และทฤษฎีต่าง ๆ
ที่ใช้ในการประเมินภาวะสุขภาพของชุมชนอย่างหลากหลาย แต่โดยสรุปแล้วการประเมินภาวะสุขภาพของชุมชนมีองค์ประกอบที่ต้องพิจารณา 3 ด้านที่สำคัญ ดังนี้
1. คน ข้อมูลของคนที่อยู่อาศัยในชุมชนเป็นตัวบ่งชี้สุขภาพอนามัยของชุมชนโดยรวมได้ เป็นอย่างดี เพราะข้อมูลเกี่ยวกับประชาชนในชุมชนแสดงให้เห็นถึงปัญหาสุขภาพ การเจ็บป่วย และความต้องการทางด้านสุขภาพของคนในชุมชน โดยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับประชาชนในชุมชนที่ต้องนำมาศึกษาและวิเคราะห์ ประกอบไปด้วยด้านต่าง ๆ ดังนี้
1) ลักษณะประชากรและสถานภาพต่าง ๆ ของประชากรในชุมชน เช่น เพศ อายุ เชื้อชาติจำนวนประชากร การย้ายเข้าและย้ายออกของประชากรในชุมชน ลักษณะของครอบครัว ระดับการศึกษา รายได้ การประกอบอาชีพ การนับถือศาสนา ฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งข้อมูลลักษณะประชากรดังกล่าวสามารถนำมาทำนายภาวะสุขภาพของชุมชนได้ เช่น จำนวนประชากรในชุมชนที่มีเป็นจำนวนมาก และอาศัยอยู่กันอย่างแออัด อาจส่งผลทำให้เกิดโรคติดต่อในชุมชนได้ง่าย
2) ข้อมูลเกี่ยวกับสถิติชีพหรือข้อมูลบ่งชี้สภาวะสุขภาพอนามัยของประชากรในชุมชน เช่น อัตราการเจ็บป่วยด้วยโรคต่าง ๆ สาเหตุการเจ็บป่วยที่สำคัญ การเจ็บป่วยในปัจจุบันของประชากรในชุมชน การเสียชีวิตและอัตราการเสียชีวิตจากสาเหตุต่าง ๆ ความทุพพลภาพ สาเหตุและลักษณะของความทุพพลภาพ การได้รับภูมิคุ้มกันโรค รวมถึงปัจจัยที่ทำให้เกิดการเสี่ยงต่อการเกิดโรคและอุบัติภัย
3) ข้อมูลเกี่ยวกับวิถีชีวิต ความรู้ เจตคติ และพฤติกรรมสุขภาพของประชากรในชุมชน เช่น วิถีการทำงาย การพักผ่อน การจัดการกับอารมณ์และความเครียด การออกกำลังกาย การบริโภค และพฤติกรรมการดูแลสุขภาพอนามัยส่วนบุคคล รวมทั้งความรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรค ความเชื่อและทัศนคติเกี่ยวกับสุขภาพ ซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับวิถีชีวิต ความรู้และพฤติกรรมสุขภาพของประชากรในชุมชนแสดงให้เห็นถึงภาวะสุขภาพของชุมชนได้ เช่น พฤติกรรมการบริโภคอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ ของคนในชุมชน อาจทำให้คนในชุมชนป่วยด้วยโรคพยาธิใบไม้ในตับเป็นจำนวนมาก
2. สิ่งแวดล้อมและลักษณะทั่วไปของชุมชน สภาพแวดล้อมและลักษณะทั่วไปของชุมชนสามารถบอกภาวะสุขภาพและระดับสุขภาพของ ชุมชนได้เช่นเดียวกัน และเมื่อนำมาวิเคราะห์ร่วมกับข้อมูลทางประชากรของชุมชนก็จะพบสาเหตุของปัญหา สุขภาพในชุมชนที่ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยข้อมูลทางด้านสิ่งแวดล้อมและลักษณะทั่วไปของชุมชนที่ต้องรวบรวมและนำมา ศึกษา ได้แก่ สภาพพื้นที่ สถานที่ตั้ง ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ สภาพของความสะอาดและความมั่นคงแข็งแรงของบ้านเรือนที่พักอาศัย ความเป็นระเบียบเรียบร้อยของชุมชน การจัดหาน้ำสะอาดเพื่ออุปโภคและบริโภค การจัดการขยะมูลฝอยและสิ่งปฏิกูล การควบคุมแมลงและสัตว์นำโรค รวมทั้งสภาพของมลภาวะและสารพิษในชุมชน ซึ่งสามารถใช้เป็นตัวทำนายภาวะสุขภาพของชุมชนได้ เช่น ชุมชนที่มีปัญหามลพิษทางอากาศผู้คนมักป่วยด้วยโรคปอดและโรคในระบบทางเดิน หายใจ
3. ระบบสังคมและการบริการด้านสาธารณสุข ระบบสังคมและการบริการด้านสาธารณสุขส่งผลต่อการมีสุขภาพอนามัยที่ดีของชุมชน ดังนั้น การศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับระบบสังคมและการให้บริการด้านสาธารณ สุขของชุมชน จึงเป็นสิ่งบ่งชี้ภาวะสุขภาพโดยรวมของชุมชนได้ เช่น รูปแบบการปกครอง ผู้นำชุมชน กระบวนการตัดสินใจของบุคคลในชุมชน ความสัมพันธ์และความร่วมมือของคนในชุมชน กลุ่มทางวัฒนธรรมและวัฒนธรรมที่มีผลต่อสุขภาพ สภาพเศรษฐกิจชุมชน การเข้าถึงโครงการบริการสังคมและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ทั้งบริการด้านความปลอดภัยจากสถานีตำรวจ สถานีดับเพลิง การได้รับสิ่งจำเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต การใช้บริการและใช้ประโยชน์จากสถานบริการด้านสุขภาพ เป็นต้น
8.2.2 การประเมินพฤติกรรมเสี่ยงทางสุขภาพของชุมชน
พฤติกรรมเป็นการกระทำหรือการ แสดงออกของบุคคลในเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งพฤติกรรมทางสุขภาพ ที่ส่งผลต่อการมีสุขภาพที่ดีหรือไม่ดีของบุคคล หรืออาจเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดปัญหาสุขภาพ และการเกิดความเสี่ยงต่อโรคและการเจ็บป่วยต่าง ๆ ขึ้นในชุมชนโดยรวม ถ้าบุคคลที่อาศัยอยู่ในชุมชนนั้นมีพฤติกรรมทางสุขภาพที่ไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะพฤติกรรมเสี่ยงทางสุขภาพ ซึ่งหมายถึงพฤติกรรมที่บุคคลในชุมชนปฏิบัติ แล้วอาจนำไปสู่การเกิดอันตรายต่อชีวิตและสุขภาพของตน ครอบครัว และสุขภาพของชุมชนโดยส่วนรวม เช่น พฤติกรรมดื่มสุราแล้วขับรถก่อให้เกิดอุบัติเหตุ พฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัยก่อให้เกิดการระบาดของโรคเอดส์ใน ชุมชนพฤติกรรมการขับถ่ายไม่ถูกสุขลักษณะทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม และเกิดโรคในระบบทางเดินอาหาร เป็นต้น
การประเมินพฤติกรรมเสี่ยงทาง สุขภาพของชุมชน มีประโยชน์ในการทำนายภาวะสุขภาพของชุมชน ทำให้ทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมกับปัญหาสุขภาพว่า พฤติกรรมสุขภาพหรือพฤติกรรมเสี่ยงใดบ้างที่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพและการเจ็บ ป่วยขึ้น เมื่อชุมชนรู้ถึงสาเหตุของพฤติกรรมเสี่ยงดังกล่าวแล้วก็เป็นการง่ายต่อการ กำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหา และกำหนดวิธีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยงที่เป็นปัญหาให้เป็นพฤติกรรม สุขภาพที่พึงประสงค์ต่อไป นอกจากนี้ การประเมินพฤติกรรมเสี่ยงทางสุขภาพยังทำให้ประชาชนในชุมชนเกิดความตระหนัก และรับรู้ถึงสถานการณ์ทางสุขภาพในปัจจุบัน นำมาซึ่งความร่วมมือกันในการดูแลสุขภาพในทุก ๆ หน่วยของชุมชน ทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว และชุมชน
พฤติกรรมเสี่ยงที่เป็นปัญหาต่อสุขภาพของชุมชน
พฤติกรรมเสี่ยงที่เป็นปัญหาต่อสุขภาพชุมชนที่สำคัญ ได้แก่
1. พฤติกรรมเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ เช่น การฝ่าฝืนกฎจราจรของผู้ขับขี่ เมาหรือง่วงนอนแล้วขับขี่รถยนต์ทำให้เกิดอุบัติเหตุ ไม่สวมหมวกนิรภัยขณะขับขี่รถจักรยานยนต์ หรือไม่คาดเข็มขัดนิรภัยขณะขับขี่ทุกครั้ง ก่อให้เกิดการบาดเจ็บที่รุนแรงเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น
2. พฤติกรรมเสี่ยงต่อการเสพสารเสพติด เช่น ชุมชนที่เป็นแหล่งขายหรือจำหน่ายสารเสพติด หรือเป็นชุมชนที่มีการแพร่ระบาดของสารเสพติด ส่งผลให้คนในชุมชนนั้นมี พฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดสารเสพติดโดยง่าย หรือชุมชนที่มีปัญหาความยากจน มีปัญหาครอบครัวแตกแยก สมาชิกขาดการเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน ก็จัดว่าเป็นสาเหตุของการเกิดพฤติกรรมเสี่ยงต่อการเสพสารเสพติดในชุมชนได้ เช่นกัน
3. พฤติกรรมเสี่ยงทางเพศกับการเกิดโรคเอดส์ เช่น พฤติกรรมการสำส่อนทางเพศ การมีพฤติกรรมทางเพศที่ไม่ปลอดภัย โดยไม่สวมถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ หรือการขาดความรู้ความเข้าใจในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ถูกต้อง ย่อมทำให้เกิดปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในชุมชน โดยเฉพาะปัญหาการแพร่ระบาดของโรคเอดส์
4. พฤติกรรมเสี่ยงจากการบริโภคอาหารไม่เหมาะสม และการขาดการออกกำลังกาย เช่น ประชาชนในวัยต่าง ๆ ของชุมชนบริโภคอาหารที่มีสารพิษปนเปื้อนส่งผลเสียต่อสุขภาพ การขาดความรู้ความเข้าใจในการบริโภคอาหารที่เหมาะสมตามวัยของคนในชุมชน ทำให้เกิดการเจ็บป่วยร่างกายไม่เจริญเติบโต รวมทั้งการขาดความกระตือรือร้น การขาดแนวร่วมในการออกกำลังกายของชุมชน ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ เช่น โรคอ้วน โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคความดันเลือดสูง โรคเบาหวาน เป็นต้น
5. พฤติกรรมเสี่ยงต่อความเครียดและปัญหาความรุนแรง เช่น วิถีการดำรงชีวิตที่เร่งรีบ มีการแข่งขันกันประกอบอาชีพและการหารายได้เพื่อใช้จ่ายในครอบครัว การยึดติดกับการบริโภควัตถุจนเกินไป ส่งผลต่อสภาพอารมณ์และจิตใจของผู้คนในชุมชน ทำให้เกิดความเครียดได้ง่าย ซึ่งผลที่ ตามมาจากความเครียดอาจเกิดปัญหาความรุนแรงในครอบครัว หรือสมาชิกของชุมชนจนเกิดการบาดเจ็บและสูญเสียชีวิต
1. คน ข้อมูลของคนที่อยู่อาศัยในชุมชนเป็นตัวบ่งชี้สุขภาพอนามัยของชุมชนโดยรวมได้ เป็นอย่างดี เพราะข้อมูลเกี่ยวกับประชาชนในชุมชนแสดงให้เห็นถึงปัญหาสุขภาพ การเจ็บป่วย และความต้องการทางด้านสุขภาพของคนในชุมชน โดยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับประชาชนในชุมชนที่ต้องนำมาศึกษาและวิเคราะห์ ประกอบไปด้วยด้านต่าง ๆ ดังนี้
1) ลักษณะประชากรและสถานภาพต่าง ๆ ของประชากรในชุมชน เช่น เพศ อายุ เชื้อชาติจำนวนประชากร การย้ายเข้าและย้ายออกของประชากรในชุมชน ลักษณะของครอบครัว ระดับการศึกษา รายได้ การประกอบอาชีพ การนับถือศาสนา ฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งข้อมูลลักษณะประชากรดังกล่าวสามารถนำมาทำนายภาวะสุขภาพของชุมชนได้ เช่น จำนวนประชากรในชุมชนที่มีเป็นจำนวนมาก และอาศัยอยู่กันอย่างแออัด อาจส่งผลทำให้เกิดโรคติดต่อในชุมชนได้ง่าย
2) ข้อมูลเกี่ยวกับสถิติชีพหรือข้อมูลบ่งชี้สภาวะสุขภาพอนามัยของประชากรในชุมชน เช่น อัตราการเจ็บป่วยด้วยโรคต่าง ๆ สาเหตุการเจ็บป่วยที่สำคัญ การเจ็บป่วยในปัจจุบันของประชากรในชุมชน การเสียชีวิตและอัตราการเสียชีวิตจากสาเหตุต่าง ๆ ความทุพพลภาพ สาเหตุและลักษณะของความทุพพลภาพ การได้รับภูมิคุ้มกันโรค รวมถึงปัจจัยที่ทำให้เกิดการเสี่ยงต่อการเกิดโรคและอุบัติภัย
3) ข้อมูลเกี่ยวกับวิถีชีวิต ความรู้ เจตคติ และพฤติกรรมสุขภาพของประชากรในชุมชน เช่น วิถีการทำงาย การพักผ่อน การจัดการกับอารมณ์และความเครียด การออกกำลังกาย การบริโภค และพฤติกรรมการดูแลสุขภาพอนามัยส่วนบุคคล รวมทั้งความรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรค ความเชื่อและทัศนคติเกี่ยวกับสุขภาพ ซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับวิถีชีวิต ความรู้และพฤติกรรมสุขภาพของประชากรในชุมชนแสดงให้เห็นถึงภาวะสุขภาพของชุมชนได้ เช่น พฤติกรรมการบริโภคอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ ของคนในชุมชน อาจทำให้คนในชุมชนป่วยด้วยโรคพยาธิใบไม้ในตับเป็นจำนวนมาก
2. สิ่งแวดล้อมและลักษณะทั่วไปของชุมชน สภาพแวดล้อมและลักษณะทั่วไปของชุมชนสามารถบอกภาวะสุขภาพและระดับสุขภาพของ ชุมชนได้เช่นเดียวกัน และเมื่อนำมาวิเคราะห์ร่วมกับข้อมูลทางประชากรของชุมชนก็จะพบสาเหตุของปัญหา สุขภาพในชุมชนที่ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยข้อมูลทางด้านสิ่งแวดล้อมและลักษณะทั่วไปของชุมชนที่ต้องรวบรวมและนำมา ศึกษา ได้แก่ สภาพพื้นที่ สถานที่ตั้ง ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ สภาพของความสะอาดและความมั่นคงแข็งแรงของบ้านเรือนที่พักอาศัย ความเป็นระเบียบเรียบร้อยของชุมชน การจัดหาน้ำสะอาดเพื่ออุปโภคและบริโภค การจัดการขยะมูลฝอยและสิ่งปฏิกูล การควบคุมแมลงและสัตว์นำโรค รวมทั้งสภาพของมลภาวะและสารพิษในชุมชน ซึ่งสามารถใช้เป็นตัวทำนายภาวะสุขภาพของชุมชนได้ เช่น ชุมชนที่มีปัญหามลพิษทางอากาศผู้คนมักป่วยด้วยโรคปอดและโรคในระบบทางเดิน หายใจ
3. ระบบสังคมและการบริการด้านสาธารณสุข ระบบสังคมและการบริการด้านสาธารณสุขส่งผลต่อการมีสุขภาพอนามัยที่ดีของชุมชน ดังนั้น การศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับระบบสังคมและการให้บริการด้านสาธารณ สุขของชุมชน จึงเป็นสิ่งบ่งชี้ภาวะสุขภาพโดยรวมของชุมชนได้ เช่น รูปแบบการปกครอง ผู้นำชุมชน กระบวนการตัดสินใจของบุคคลในชุมชน ความสัมพันธ์และความร่วมมือของคนในชุมชน กลุ่มทางวัฒนธรรมและวัฒนธรรมที่มีผลต่อสุขภาพ สภาพเศรษฐกิจชุมชน การเข้าถึงโครงการบริการสังคมและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ทั้งบริการด้านความปลอดภัยจากสถานีตำรวจ สถานีดับเพลิง การได้รับสิ่งจำเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต การใช้บริการและใช้ประโยชน์จากสถานบริการด้านสุขภาพ เป็นต้น
8.2.2 การประเมินพฤติกรรมเสี่ยงทางสุขภาพของชุมชน
พฤติกรรมเป็นการกระทำหรือการ แสดงออกของบุคคลในเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งพฤติกรรมทางสุขภาพ ที่ส่งผลต่อการมีสุขภาพที่ดีหรือไม่ดีของบุคคล หรืออาจเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดปัญหาสุขภาพ และการเกิดความเสี่ยงต่อโรคและการเจ็บป่วยต่าง ๆ ขึ้นในชุมชนโดยรวม ถ้าบุคคลที่อาศัยอยู่ในชุมชนนั้นมีพฤติกรรมทางสุขภาพที่ไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะพฤติกรรมเสี่ยงทางสุขภาพ ซึ่งหมายถึงพฤติกรรมที่บุคคลในชุมชนปฏิบัติ แล้วอาจนำไปสู่การเกิดอันตรายต่อชีวิตและสุขภาพของตน ครอบครัว และสุขภาพของชุมชนโดยส่วนรวม เช่น พฤติกรรมดื่มสุราแล้วขับรถก่อให้เกิดอุบัติเหตุ พฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัยก่อให้เกิดการระบาดของโรคเอดส์ใน ชุมชนพฤติกรรมการขับถ่ายไม่ถูกสุขลักษณะทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม และเกิดโรคในระบบทางเดินอาหาร เป็นต้น
การประเมินพฤติกรรมเสี่ยงทาง สุขภาพของชุมชน มีประโยชน์ในการทำนายภาวะสุขภาพของชุมชน ทำให้ทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมกับปัญหาสุขภาพว่า พฤติกรรมสุขภาพหรือพฤติกรรมเสี่ยงใดบ้างที่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพและการเจ็บ ป่วยขึ้น เมื่อชุมชนรู้ถึงสาเหตุของพฤติกรรมเสี่ยงดังกล่าวแล้วก็เป็นการง่ายต่อการ กำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหา และกำหนดวิธีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยงที่เป็นปัญหาให้เป็นพฤติกรรม สุขภาพที่พึงประสงค์ต่อไป นอกจากนี้ การประเมินพฤติกรรมเสี่ยงทางสุขภาพยังทำให้ประชาชนในชุมชนเกิดความตระหนัก และรับรู้ถึงสถานการณ์ทางสุขภาพในปัจจุบัน นำมาซึ่งความร่วมมือกันในการดูแลสุขภาพในทุก ๆ หน่วยของชุมชน ทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว และชุมชน
พฤติกรรมเสี่ยงที่เป็นปัญหาต่อสุขภาพของชุมชน
พฤติกรรมเสี่ยงที่เป็นปัญหาต่อสุขภาพชุมชนที่สำคัญ ได้แก่
1. พฤติกรรมเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ เช่น การฝ่าฝืนกฎจราจรของผู้ขับขี่ เมาหรือง่วงนอนแล้วขับขี่รถยนต์ทำให้เกิดอุบัติเหตุ ไม่สวมหมวกนิรภัยขณะขับขี่รถจักรยานยนต์ หรือไม่คาดเข็มขัดนิรภัยขณะขับขี่ทุกครั้ง ก่อให้เกิดการบาดเจ็บที่รุนแรงเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น
2. พฤติกรรมเสี่ยงต่อการเสพสารเสพติด เช่น ชุมชนที่เป็นแหล่งขายหรือจำหน่ายสารเสพติด หรือเป็นชุมชนที่มีการแพร่ระบาดของสารเสพติด ส่งผลให้คนในชุมชนนั้นมี พฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดสารเสพติดโดยง่าย หรือชุมชนที่มีปัญหาความยากจน มีปัญหาครอบครัวแตกแยก สมาชิกขาดการเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน ก็จัดว่าเป็นสาเหตุของการเกิดพฤติกรรมเสี่ยงต่อการเสพสารเสพติดในชุมชนได้ เช่นกัน
3. พฤติกรรมเสี่ยงทางเพศกับการเกิดโรคเอดส์ เช่น พฤติกรรมการสำส่อนทางเพศ การมีพฤติกรรมทางเพศที่ไม่ปลอดภัย โดยไม่สวมถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ หรือการขาดความรู้ความเข้าใจในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ถูกต้อง ย่อมทำให้เกิดปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในชุมชน โดยเฉพาะปัญหาการแพร่ระบาดของโรคเอดส์
4. พฤติกรรมเสี่ยงจากการบริโภคอาหารไม่เหมาะสม และการขาดการออกกำลังกาย เช่น ประชาชนในวัยต่าง ๆ ของชุมชนบริโภคอาหารที่มีสารพิษปนเปื้อนส่งผลเสียต่อสุขภาพ การขาดความรู้ความเข้าใจในการบริโภคอาหารที่เหมาะสมตามวัยของคนในชุมชน ทำให้เกิดการเจ็บป่วยร่างกายไม่เจริญเติบโต รวมทั้งการขาดความกระตือรือร้น การขาดแนวร่วมในการออกกำลังกายของชุมชน ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ เช่น โรคอ้วน โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคความดันเลือดสูง โรคเบาหวาน เป็นต้น
5. พฤติกรรมเสี่ยงต่อความเครียดและปัญหาความรุนแรง เช่น วิถีการดำรงชีวิตที่เร่งรีบ มีการแข่งขันกันประกอบอาชีพและการหารายได้เพื่อใช้จ่ายในครอบครัว การยึดติดกับการบริโภควัตถุจนเกินไป ส่งผลต่อสภาพอารมณ์และจิตใจของผู้คนในชุมชน ทำให้เกิดความเครียดได้ง่าย ซึ่งผลที่ ตามมาจากความเครียดอาจเกิดปัญหาความรุนแรงในครอบครัว หรือสมาชิกของชุมชนจนเกิดการบาดเจ็บและสูญเสียชีวิต
พฤติกรรมสุขภารมีผลต่อการเจ็บป่วยและการเกิดโรค ถ้าบุคคลมีพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสมก็จะลดโอกาสของการเจ็บป่วยหรือเป็นโรคได้
ในทางกลับกันการมีพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่ถูกต้อง
ย่อมทำให้มีโอกาสเกิดโรคและความเจ็บป่วยต่าง ๆ ขึ้น
ซึ่งการมีพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องเพียงพฤติกรรมเดียว
อาจเป็นสาเหตุของการเกิดโรคได้มากมายหลายโรค ดังนั้นทุกคนควรตระหนักต่อการมีพฤติกรรมสุขภาพที่ดี
เพื่อป้องกันไม่ให้มีโรคเกิดขึ้นกับตนเอง
พฤติกรรมสุขภาพ เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงโอกาสหรือแนวโน้มของการเกิดความเจ็บป่วยหรือการ เกิดโรคของบุคคล เพราะการมีสุขภาพที่ดีนั้นขึ้นอยู่กับการปฏิบัติทางสุขภาพของตนเอง เช่น คนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอมักมีสุขภาพแข็งแรง คนที่หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงทางสุขภาพ ชีวิตก็จะมีความปลอดภัยมากขึ้น ดังนั้น เพื่อการมีสุขภาพที่ดี นักเรียนควรมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการป้องกันโรคที่เกิดจากพฤติกรรม สุขภาพ และมีความตระหนักในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตนให้มีพฤติกรรมสุขภาพ ที่เหมาะสม
พฤติกรรมสุขภาพ เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงโอกาสหรือแนวโน้มของการเกิดความเจ็บป่วยหรือการ เกิดโรคของบุคคล เพราะการมีสุขภาพที่ดีนั้นขึ้นอยู่กับการปฏิบัติทางสุขภาพของตนเอง เช่น คนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอมักมีสุขภาพแข็งแรง คนที่หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงทางสุขภาพ ชีวิตก็จะมีความปลอดภัยมากขึ้น ดังนั้น เพื่อการมีสุขภาพที่ดี นักเรียนควรมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการป้องกันโรคที่เกิดจากพฤติกรรม สุขภาพ และมีความตระหนักในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตนให้มีพฤติกรรมสุขภาพ ที่เหมาะสม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น