วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2558

ใบงานที่ 4 การประเมินภาวะสุขภาพ

ใบความรู้ที่ 4 การประเมินภาวะสุขภาพ


ก.การประเมินภาวะสุขภาพ(ทางกาย)

ก.การประเมินภาวะสุขภาพ
     การประเมินภาวะสุขภาพทางกาย
        ให้พิจารณาดูว่ามีปัญหาสุขภาพทางกายหรือไม่ เช่น เป็นโรคต่างๆ เหนื่อยง่าย สายตาผิดปกติ หูไม่ค่อยได้ยิน อ่อนเพลียง่าย มีแผล แล้วรักษาหายยาก เป็นต้น ถ้าพบอาการเช่นนี้ให้ประเมินได้เลยว่า ภาวะร่างกายไม่ดีต้องรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจรักษา นอกจากประเมินภาวะร่างกายด้วยการสังเกตความผิดปกติหรือความเจ็บป่วยแล้ว ยังสามารถประเมินภาวะสุขภาพของตนเองก่อนเพื่อให้รู้ว่าตนเองมีสุขภาพเป็นอย่างไร มีความผิดปกติหรือพบปัญหาสุขภาพหรือไม่ การประเมินภาวะสุขภาพมีหลายวิธี ได้แก่ ประเมินภาวะสุขภาพด้วยวิธีง่ายๆ เช่น การประเมินด้วยตัวเองโดยการวัดรอบเอวเพื่อดูปริมาณไขมันในช่องท้อง การประเมินสุขภาพทางการแพทย์โดยการตรวจและคัดกรองความเสี่ยงต่างๆ เช่น การวัดความดันเลือด การตรวจวัดระดับไขมันในเลือด และการตรวจวัดปริมาณน้ำตาลในเลือด และการตรวจวัดปริมาณน้ำตาลในเลือด โดยตรวจสุขภาพประจำปี ปีละ 1 ครั้ง โดยให้แพทย์ตรวจร่างกายทั่วไป ได้แก่ ตรวจอุจจาระ ตรวจปัสสาวะ เอกซเรย์ปอด และตรวจเลือด สำหรับการตรวจเลือดนั้นจะทำให้ทราบภาวะผิดปกติต่างๆของร่างกายได้มากมาย
https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgYIVKUBf1fNWEqZ7GWpn4bRfDC7zoauk6S1DXGwA5_6D080UKxrZ9874aB_hLGCwEHvI5MKkjMRm0Q7o1sj6ownNvA5N24rkt3UwM545_8gT-bWDdJfh0EJNojwlIQ2b1G0E7GbCO_7Ec/s320/16+%E0%B8%98.%E0%B8%84.+2012+20:05:17.jpg
การประเมินภาวะสุขภาพทางการแพทย์ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะภาวะของร่างกายที่ควรได้รับการตรวจประจำปี โดยเฉพาะผู้ใหญ่

1.             การตรวจเลือดทำให้ทราบสภาวะของร่างกายดังนี้
  • ระดับคอเลสเตอรอล (Cholesterol) ในเลือดเป็นไขมันในเลือดชนิดหนึ่ง ระดับปกติไม่ควรเกิน 200 มิลลิกรัม/เดซิลิตร (mg/dl)  ถ้ามากกว่านี้ถือว่าสูง ควรควบคุมอาหาร ออกกำลังกายเป็นประจำ และควรไปพบแพทย์เพื่อปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
  • ระดับไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) เป็นไขมันในเลือดอีกชนิดหนึ่ง ระดับปกติไม่ควรเกิน 150 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ถ้ามีการควบคุมอาหารที่ดี ออกกำลังกายอยู่เสมอจะทำให้ระดับไตรกลีเซอไรด์ลดลงได้ และควรไปพบแพทย์เพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่ถูกต้อง
  • ระดับเอชดีแอล (HDL, High-density Lipoprotein) หรือไขมันดี ซึ่งเป็นไขมันที่มีความหนาแน่นสูง ควรมีค่าไม่น้อยกว่า 35 มิลลิกรัม/เดซิลิตร จึงจะถือว่าปกติ การออกกำลังกายจะช่วยเพิ่มระดับเอชดีแอลได้มาก รวมทั้งควบคุมระดับคอเลสเตอรอลได้เช่นกัน
  • ระดับแอลดีแอล (LDL, Low-Density lipoprotein) ซึ่งเป็นไขมันที่ มีความหนาแน่นน้อย ถ้ามีมากไม่ดี ควรมีค่าไม่เกิน 130 มิลลิกรัม/เดซิลิตร จึงจะถือว่าปกติ การปฏิบัติตนในการควบคุมระดับคอเลสเตอรอลจะช่วยให้ระดับแอลดีแอลลดลงได้                    
จาก หัวข้อแรกถึง 4 ถ้ามีสภาวะร่างไม่เป็นไปตามเกณฑ์ปกติดังกล่าวแล้วถือว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ จะทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมาได้ เช่น โรคหัวใจขาดเลือด หรือหลอดเลือดสมองตีบตัน ทำให้เกิดโรคอัมพาตได้
  • ระดับน้ำตาลในเลือด (Glucose) ตามปกจิควรอยู่ระหว่าง 65-100 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ถ้าสูงเกิน 100 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ถือว่าภาวะน้ำตาลในเลือดสูงมีโอกาสเป็นโรคเบาหวาน
  • ระดับกรดยูริกในเลือด (Uric Acid) ตามปกติไม่ควรเกิน 7 มิลิกรัม/เดซิลิตรถ้าเกินกว่านี้ถือว่ามีกรดยูริกในเลือดสูง มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคเกาด์
  • ความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดง (Hematocrit : Hct) ผู้ชายควรอยู่ ระหว่าง 40-45% ผู้หญิงควรอยู่ระหว่าง 37-47% และสีของเม็ดเลือดแดง (Hemoglobin : Hb) ผู้ชายควรอยู่ระหว่าง 12.5-17.5 กรัม/เดซิลิตร (g/dl) ผู้หญิงควรอยู่ระหว่าง 11.5-16.5 กรัม/เดซิลิตร (g/dl) ถ้ามีค่าน้อยกว่านี้ถือว่่าเลือดจาง
  • จำนวนเม็ดเลือดขาว (White Blood Cells) ควรอยู่ระหว่าง 5,000-10,000 เซลล์/ลูกบาศก์มิลลิเมตร (cells/cmm)

http://www.jetmt.com/images/column_1223808636/0000.jpg

       2.  ความดันเลือด - โดยปกติคนเราจะมีค่าความดันเลือดประมาณ 120/80 หรือมากน้อยกว่านี้เล็กน้อย
       3.  การชั่งน้ำหนักและวัดส่วนสูง - ถ้าจะพิจารณาว่า บุคคลอ้วน หมายถึง ภาวะที่ร่างกายได้รับพลังงานจากอาหารมากกว่าพลังงานที่ร่างกายใช้ไป ทำให้เหลือพลังงานที่สะสมไว้ในร่างกายในรูปไขมันมากขึ้นแล้วทำให้น้ำหนัก เพิ่มมากขึ้น สำหรับผู้ใหญ่สามารถประเมินด้วยวิธีง่ายๆ คือ คำนวณค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index)
http://buildupbeauty.files.wordpress.com/2009/11/picture1.png

การแปลผล   ดัชนีมวลกาย < 18.5              แปลผล  น้ำหนักน้อย
                        ดัชนีมวลกาย 18.5 - 22.9      แปลผล  น้ำหนักปกติ
                        ดัชนีมวลกาย 23 - 29.9         แปลผล  น้ำหนักเกิน
                        ดัชนีมวลกาย >หรือ= 30       แปลผล   โรคอ้วน
       สำหรับการชั่งน้ำหนักและส่วนสูงนอกจากจะเป็นวิธีการประเมินภาวะสุขภาพทาง การแพทย์แล้ว บุคคลทั่วไปยังสามารถทำการประเมินด้วยตนเองได้เป็นประจำ


         ด้วยเหตุผลที่ว่า ผู้กำหนดนโยบายด้านสุขภาพของประเทศมีความจำเห็นต้องใช้ข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อให้การเลือกจัดสรรทรัพยากรไปสู่บริการสาธารณสุขประเภทต่าง ๆ ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม โดยเลือกลงทุนในประเภทบริการสาธารณสุขที่คุ้มทุนและตรงกับความต้องการบริการ ทางสุขภาพมากที่สุดด้วย
         แนวความคิดในการนำองค์ความรู้ในเชิงเศรษฐศาสตร์มาประยุกต์ใช้ในกระบวนการวิ เคราะห์และกำหนดนโยบายทางสาธารณสุข ได้ดำเนินมาถึงจุดทึ่ได้รับความสนใจอย่างยิ่งเมื่อธนาคารโลกได้ตีพิมพ์ “World Development Report 1993” โดยกำหนดหัวข้อหลักว่า “Investing in Health” ใน “World Development Report 1993” นี้ธนาคารโลกได้เสนอแนวความคิดเกี่ยวกับการวางแผนนโยบายทางสาธารณสุขว่า ปัจจัยหนึ่งที่มีผลกระทบต่อระดับสุขภาพของประชาชนในสังคม ได้แก่ การจัดสรรทรัพยากรไปสู่การให้บริการประเภทต่าง ๆ อย่างถูกต้องเหมาะสม โดยมีความแตกต่างระหว่างระดับการลงทุนเพื่อสุขภาพและระดับสุขภาพในประเทศ ต่าง ๆ นั้นมีสาเหตุจากการขาดประสิทธิภาพในการจัดสรรทรัพยากรเป็นหลัก สรุปคือประเทศที่มีระดับสุขภาพสูงเมื่อเทียบกับการลงทุนเพื่อสุขภาพนั้นเกิด จากการที่ประเทศนั้น ๆ ได้จัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเลือกการลงทุนไปในประเภทของการให้บริการของสาธารณสุขที่คุ้มทุน (cost-effective) ที่สุดและตรงต่อความต้องการการให้บริการทางสุขภาพมาที่สุดด้วย

       โดยในช่วงเวลาที่ผ่านมา มีความพยายามอย่างมากในการที่จะพัฒนาดัชนีวัดสถานะสุขภาพของประชากรแบบองค์ รวมที่มีการผนวกข้อมูลการตาย การเจ็บป่วย และทุพพลภาพ เพื่อนำไปใช้เป็นข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบาย   ข้อพิจารณาที่สำคัญยิ่งต่อการจัดสรรทรัพยากรไปสู่บริการสาธารณสุขและการ แพทย์ขั้นพื้นฐาน ได้แก่ การศึกษาถึงระดับความต้องการบริการสาธารณสุขของสมาชิกในสังคม จุดเริ่มต้นดังกล่าวนี้ กระทำโดยการประเมินผลกระทบ หรือระดับความสูญเสียจากการเป็นโรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมจากปัญหาทางสาธารณสุขทั้งหมด โดยเครื่องมือที่ธนาคารโลกนำมาใช้ได้แก่การวัดความสูญเสียจากการเกิดโรค” (Burden of Disease) โดยได้ค้นคิดดัชนีปีสุขภาวะที่ปรับด้วยความบกพร่องทางสุขภาพคือ DALYs (Disability Adjusted Life Years) ขึ้นเพื่อวัดผลกระทบดังกล่าว
DALYs เป็นการวัดสถานะสุขภาพของประชากรแบบองค์รวม ที่วัดภาวะการสูญเสียด้านสุขภาพ หรือช่องว่างสุขภาพ (health gap) โดยแสดงถึง จำนวนปีที่สูญเสียไปจากการตายก่อนวัยอันควร (Years of Life Lost – YLL) รวมกับ จำนวนปีที่มีชีวิตอยู่กับความบกพร่องทางสุขภาพ (Years Life with Disability – YLD)


พัฒนาการทางวิชาการในด้านนี้ได้มีส่วนเริ่มต้นมาจากศาสตร์ในเชิงปริมาณภาย ใต้องค์ความรู้ทางการสาธารณสุขได้แก่ ความรู้ทางระบาดวิทยา ประชากรศาสตร์ และชีวะสถิติ การวัดระดับสุขภาพโดยอาศัยการวัดเชิงปริมาณนี้ มีสมมุติฐานเบื้องต้นที่สำคัญคือ โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ อาจมีผลกระทบต่อมนุษย์ได้ 2 ลักษณะคือ
       1) ทำให้เสียชีวิตก่อนเวลาอันสมควร หรือ
      2) อาจทำให้เกิดความเจ็บป่วย และเกิดภาวะทุพพลภาพโดยมีระดับความรุนแรง และระยะเวลาที่ต่าง ๆ กันสำหรับผลกระทบจากการเสียชีวิตก่อนเวลาอันสมควรนั้น อัตราการตาย (Mortality rate) เป็นตัวชี้วัดสุขภาพที่ใช้กันบ่อยที่สุด อัตราตายอาจจะแยกเป็นอัตราการตายตามกลุ่มอายุ อัตราตายจากโรคจำเพาะ ซึ่งจะใช้ดูปัญหาเฉพาะของแต่ละโรคหรือแต่ละกลุ่มประชากร การตายของคนในวัยต่าง ๆ มีความหมายแตกต่างกัน การตายในวัยเด็กทำให้สูญเสียโอกาสมากกว่าการตายในวัยชรา จึงได้มีการนำเอาปีที่ควรมีชีวิตอยู่แต่ต้องเสียไปมาเป็นเครื่องเปรียบเทียบ ปัญหาสุขภาพ สำหรับผลกระทบที่เกิดจากการการเจ็บป่วย (Morbidity event) มีความจำเป็นเนื่องจากตัววัดเพียงการตายไม่เพียงพอที่จะสะท้อนความสูญเสีย จากการเจ็บป่วยในคนที่ไม่ตายเป็นจำนวนมากหรือป่วยเรื้อรัง จึงต้องมีตัววัดอัตราป่วย ซึ่งเป็นการวัดอุบัติการณ์ (incidence) หรือความชุกของการเกิดโรค (prevalence) ซึ่งตัววัดเหล่านี้เป็นดัชนีชี้วัดเบื้องต้นที่มักจะถูกใช้ในการจัดลำดับของ โรคต่าง ๆ เช่นลำดับสาเหตุการตายที่สำคัญ ลำดับอัตราป่วย การเฝ้าระวังโรค และอื่น ๆ
     การใช้ดัชนีชี้วัดผลจากโรคต่าง ๆ โดยอัตราการตายและอัตราการป่วยแยกจากกันทำให้เป็นการยากต่อการที่จะเปรียบ เทียบผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อสังคมจากโรคที่มีแบบแผนของผลกระทบที่ต่างกัน เช่นโรคที่มีความเฉียบพลัน รุนแรง กับโรคที่มีลักษณะเรื้อรังและเกิดความพิการ อัตราการป่วยหรืออัตราการตายเพียงอย่างเดียวไม่สามารถเปรียบเทียบความรุนแรง หรือความสูญเสียระหว่างกลุ่มโรคและระหว่างกลุ่มประชากรได้ จึงต้องเปลี่ยนอัตราการป่วยเป็นระดับของผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการป่วยนั้น ๆ ดังนั้นการวัดความสูญเสียจากโรคโดยใช้ดัชนี้วัดที่รวมทั้งผลกระทบที่เกิดจาก การตาย การป่วยและความพิการ จึงมีความสำคัญยิ่งในการกำหนดนโยบายทางสาธารณสุข

ดัชนีวัดภาระโรค จะแบ่งการวัดภาระโรคได้ 2 แบบ
    1. การวัดภาระโรคที่เกิดจากการเกิดโรคและการบาดเจ็บ (Burden of Disease and injury)
    2. การวัดภาระโรคที่เกิดจากปัจจัยเสี่ยงและพฤติกรรมสุขภาพ (Risk factor)

         จะเห็นว่าข้อมูลภาระโรคสามารถบอกปัญหาสุขภาพที่สำคัญได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็
ตาม การจะควบคุมป้องกันของโรคต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพดีนั้นควรต้องศึกษาถึงสาเหตุ หรือปัจจัยกำหนดโรค (Disease Determinants) ซึ่งบางโรคอาจเกิดจากหลายปัจจัย หรือหลาย ๆ โรคอาจเกิดจากปัจจัยเดียวกันก็ได้ องค์การอนามัยโลกได้เสนอกรอบแนวคิดเกี่ยวกับระดับของปัจจัยที่มีผลต่อการ เกิดโรคโดยแบ่งออกเป็น proximal cause, distal cause, physio-pathological cause และยังจำแนกระดับของโรคออกเป็น outcome และโรคแทรกซ้อน (sequelae) ตัวอย่างเช่น การมีเศรษฐานะยากจนการศึกษาต่ำและสภาพอาชีพการงาน (distal cause) ทำให้มีพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ไม่เหมาะสม การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์และขาดการออกกำลังกาย (proximal cause) ส่งผลให้มีความผิดปกติ เช่น ระดับความดันโลหิตสูงขึ้น ระดับโคเลสเตอรอลสูง ระดับเมตาโบลิซึมของน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น (physiological and pathological cause) ต่อมาเกิดโรคหลอดเลือดสมองหรือโรคหลอดเลือดหัวใจ (outcome) ซึ่งอาจทำให้เกิดการเป็นอัมพาตครึ่งซีก หรือหัวใจล้มเหลวตามมา (sequelae) หากพิจารณาในเรื่องระดับการป้องกันโรคแล้ว การควบคุมในระดับปัจจัยถือเป็นการป้องกัน ส่วนการควบคุมในระดับการเกิดโรคแล้วนั้นก็คือการรักษา Disease Attributable to Risk Factorsการศึกษาทางระบาดวิทยามุ่งเน้นการหาสาเหตุของการเกิดโรค และได้แบ่งการวัดทางระบาดวิทยาเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่ การวัดขนาดของปัญหา การวัดความสัมพันธ์ และการวัดผลกระทบ ในแนวคิดของการวัดผลกระทบนี้เองที่เป็นตัวที่บอกให้ทราบว่ามีปัจจัยทำให้ เกิดการป่วยหรือการตายเป็นปริมาณเท่าใด หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า ถ้าหากลดปัจจัยนั้น ๆ ให้หมดไปจะทำให้ลดการป่วยหรือการตายได้เท่าใดนั่นเอง ตัวอย่างเช่น ในการติดตามประชากรที่สูบบุหรี่ และไม่สูบบุหรี่เป็นเวลา 20 ปี ประชากรกลุ่มที่สูบบุหรี่มีการป่วยเป็นโรคมะเร็งปอดจำนวน 100 ต่อแสน ขณะที่กลุ่มไม่สูบบุหรี่มีการป่วยโรคมะเร็งปอดจำนวน 10 ต่อแสน แสดงว่าในกลุ่มที่สูบบุหรี่นั้น 90 ต่อแสนที่เกิดโรคเนื่องจากบุหรี่จริง ๆ ส่วนที่เหลือ 10 ต่อแสนนั้นถึงไม่สูบบุหรี่ก็จะเป็นมะเร็งปอดอยู่แล้ว เป็นต้น
        การป่วยที่เป็นจากการสูบบุหรี่ (90 ต่อแสน) ก็คือ Attributable risk ในกลุ่มผู้สูบบุหรี่นั่นเอง ซึ่งถ้านำค่านี้มาคำนวณร่วมกับความชุกของการสูบบุหรี่ในประชากรก็จะได้การ เกิดโรคมะเร็งปอดที่เกิดจากบุหรี่ (Disease attributable to risk factor)

                                                                         ชูจิตร นาชีวะ   นักสถิติ 6   สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์


ที่มา : 1) คู่มือการศึกษาภาระโรค 2546 สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข
2) ภาระโรคและปัจจัยเสี่ยง ของประชาชนไทย พ.ศ.2542 สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์
กระทรวงสาธารณสุข

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น